จับตาปัจจัยลบกลับมากดดันการลงทุน

76

ปัจจัยบวกและปัจจัยลบยังอยู่กับการลงทุนในช่วงนี้ไม่ขาดหายไปไหนนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงไหนข่าวบวกหรือข่าวลบจะมีชัยเหนือกว่ากัน แต่สัปดาห์นี้ดูเหมือนตลาดจะเจอข่าวลบอีกครั้งนะครับ จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิดแรงเทขายอย่างหนักเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยดัชนี Dow Jones ปรับตัวลดลงถึง 2.2% เนื่องจากนักลงทุนเกิดความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯว่าอาจชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามการค้าโดยเฉพาะกับจีน ทั้งจากการขึ้นภาษีนำเข้าและกีดกันการค้าซึ่งส่งผลกระทบมาถึงธุรกิจต่างๆ ในสหรัฐฯเอง  ขณะเดียวกันถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยปีหน้าน้อยกว่าที่เคยประมาณการไว้ โดยตลาดคาดการณ์กันว่าปีหน้า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งจากเดิม 2 ครั้ง  ด้วยปัจจัยเชิงลบดังกล่าวโดยเฉพาะความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว ส่งผลให้นักลงทุนมีการปรับพอร์ตลงทุนกันอีกรอบ ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ มีความผันผวนมากขึ้น และเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรกับทองคำ

ทั้งนี้อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับจีน ซึ่งผ่านมาแล้ว 1 สัปดาห์หลังจากผู้นำสหรัฐฯและจีนได้พบกันแต่ยังไม่มีความคืนหน้าใดๆออกมา ยิ่งไปกว่านั้นกลับสร้างความกังวลให้กับตลาดเพราะเหตุการณ์การจับกุมผู้บริหารของบริษัทหัวเว่ย รวมทั้งการที่ประเทศญี่ปุ่นให้หน่วยงานรัฐบาลระงับการใช้อุปกรณ์ของบริษัทหัวเว่ยและบริษัท ZTE ของจีน ทำให้การเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับจีนที่กำหนดภายใน 90 วัน อาจตกลงกันได้ยากขึ้นไปอีก หลังจากก่อนหน้านี้ประเมินว่าผลการเจรจาน่าจะออกมาในทิศทางที่ดีและประสบผลสำเร็จแต่เวลานี้ดูเหมือนมีความเสี่ยงมากขึ้น

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบยังมีทิศทางที่ไม่แน่นอน แม้ว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันหรือ OPEC รวมทั้งพันธมิตรจะยอมลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ตลาดหุ้นในวันศุกร์ไม่ได้ตอบรับในทางบวกมากนักต่อข่าวการลดกำลังการผลิต เพราะกลุ่ม OPEC ลดกำลังการผลิตเพียง 0.8-0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน จึงเป็นสัญญาณว่าราคาน้ำมันอาจยังปรับตัวลงไปไม่ถึงต่ำสุด โดยที่ราคาน้ำมันดิบ (Brent) ยังเคลื่อนไหวอยู่แถวระดับ 60 เหรียญ แต่อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาต่ำนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัจจัยลบจากเรื่องสงครามการค้าและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัว

โดยรวมทำให้ KTBST ประเมินว่าในสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับปัจจัยลบจากต่างประเทศกดดันให้ตลาดไปต่อได้ไม่แรง แม้ว่าปัจจัยในประเทศจะได้แรงสนุบสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้ง ทั้งการให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยรวมถึงมาตรการช็อปช่วยชาติ ดังนั้นการลงทุนในสัปดาห์นี้นักลงทุนควรพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว โดยเน้นหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ ขณะเดียวกันตลาดอาจแกว่งตัวผันผวนตามตลาดต่างประเทศนักลงทุนจึงควรรอดูทิศทางตลาดประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วยนะครับ

ชาตรี  โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ 

บล. เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST)

www.mitihoon.com