เงินเฟ้อมา นลท.เมิน กูรูแนะช้อน 3 หุ้นเด่น

4250

จากกรณีที่สถาการณ์เงินเฟ้อ CPI สูง กว่าตลาดคาด ภายหลังที่กระทรวงแรงงานหรัฐรายงาน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือน พ.ค. ที่ 5%yoy สูงสุดในรอบ 13 ปี และสูงกว่าที่ตลาดคาด 4.7% และ Core CPI ที่ 3.8%yoy แต่ตลาดมองว่าจะพุ่งขึ้นเพียงชั่วคราว โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคงประมาณการ GDP ปี 64 ไว้ที่ที่ 1.8% / กลยุทธ์การลงทุนยัง แนะนำกลุ่มหุ้น reopening ที่จะได้ประโยชน์จาก ความคืบหน้าการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศและความ หวังการกลับมาเปิดเมืองได้

 

“เงินเฟ้อมาแต่นักลงทุนเมิน”

กระทรวงแรงงาน สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็น มาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดย ดัชนี CPI ดีดตัวขึ้น 0.6% MoM ในเดือนพ.ค. สูง กว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ระดับ 0.5% MoM เมื่อ เทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 5.0% YoY ซึ่งเป็น ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551 และสูงกว่าที่ ตลาดคาดที่ระดับ 4.7% YoY หลังจากเพิ่ม ขึ้น 4.2% ในเดือนเม.ย. นอกจากนี้ ดัชนี CPI พื้น ฐานไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน (Core CPI) พุ่งขึ้น 3.8% ในเดือนพ.ค. ซึ่ง เป็นระดับสูงสุดในรอบ 29 ปี สูงกว่าตัวเลขคาดที่ ระดับ 3.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 3.0% ในเดือนเม.ย. ซึ่ง ตัวเลขที่สูงกว่าคาดเล็กน้อยไม่ได้กดดันให้ตลาด ปรับตัวลงแต่อย่างใด ในทางกลับกันหลังรายงาน ตัวเลขเงินเฟ้อ ตลาดหุ้นสหรัฐฯเปิดบวกขึ้นได้ ขณะ ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทรงตัว โดยอายุ 2 ปีที่ระดับ 0.15% และ อายุ 10 ปีที่ระดับ 1.49% ทางด้าน ดัชนี Dollar Index ทรงตัวเช่นกันแข็งค่าขึ้นเพียง เล็กน้อยอยู่ที่ 90.3

 

ปฏิกิริยาของตลาดแสดงถึงนักลงทุนไม่ได้ กังวลต่อประเด็นเงินเฟ้อที่รายงานออกมาสักเท่า ไหร่นัก จากการที่ตัวเลขจริงรายงานออกมา ทั้ง CPI และ Core CPI ไม่ได้สูงกว่าตลาดคาดมาก จนส่งผลกดดัน Fed ให้ต้องหันมาทบทวนการ ดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวเร็วกว่าคาด ทั้งนี้ หากเราพิจารณาเข้าไปในรายละเอียดของตัวเลข เงินเฟ้อที่สูงรอบนี้มาจากฝั่งของราคารถยนต์มือ2 ที่ พุ่งแรง (+30%) ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้คนหันมาซื้อ รถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้น (เลี่ยงการเดินทาง สาธารณะและขับท่องเที่ยวในประเทศ) ประกอบกับ รถยนต์มือหนึ่งขาดจากปัญหาชิป ซึ่งตลาดเชื่อว่า เรื่องนี้จะเป็นปัญหาระยะสั้น โดยคาดว่าหากร่างกฏ หมาย USICA (US Innovation and Competition A ct) ที่งบส่วนหนึ่งจะนำมาช่วยส่งเสริมการผลิตและ วิจัย semiconductor จะช่วยบรรเทาปัญหา ขาดแคลนชิปได้ในระยะข้างหน้า ในขณะที่ ฝั่ง service, energy และ food (2%) ยังไม่ได้พุ่งขึ้น แรงและฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ อีก Indicator สำคัญในตลาด

 

ได้แก่ breakeven inflation หรือความคาดหวังเงินเฟ้อทั้งอายุ 5 ปีและอายุ 10 ปีที่ เริ่ม sideway down ลงมาจากระดับจุดสูงสุดในช่วง กลางเดือนพ.ค. อาจเป็นอีกสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาด น่าจะรับรู้ประเด็นเงินเฟ้อไปมากพอสมควรหาก ตัวเลขที่รายงานไม่ได้พุ่งสูงเกินคาดไปมากๆและ คาดว่าเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอาจเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคงประมาณ การ GDP ปี 64 ที่ 1.8%

โดยมองว่าเศรษฐกิจยังมี ความไม่แน่นอนทั้งการแพร่ระบาดของไวรัสทั้งใน และต่างประเทศ แต่หากสามารถเร่งกระจายวัคซีน ได้มากพอภายใน 2-3 เดือนนี้ อาจทำให้การฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ทาง ด้านความเสี่ยงที่ต้องพึงระวังหากเศรษฐกิจ สหรัฐฯ เติบโตได้ดีและ Fed เริ่มส่งสัญญาณถอย ออกจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย ซึ่งสุดท้ายแล้ว จะนำมาสู่ต้นทุนทางการเงิน ผ่านอัตราผลตอบแทน ราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกรวมถึงไทย (เนื่องจาก Bond Yield ไทยมีค่าความสัมพันธ์ สูงกับ Bond Yield สหรัฐฯ) อาจกดดันภาคธุรกิจ ไทยที่เพิ่งจะเริ่มดีขึ้นได้

 

ด้านกลยุทธ์การลงทุน

จากการรายงานตัวเลข เงินเฟ้อสหรัฐที่ไม่ได้สูงกว่าที่ตลาดคาดมากจนเกิน ไป ส่งผลให้นักลงทุนลดความกังวลประเด็นนี้ไปได้ ระยะสั้น โดย event สำคัญที่ตลาดให้ความสนใจต่อไปคือการประชุม FOMC ที่จะมีขึ้นกลางเดือน นี้ (15-16 มิ.ย.) ว่าทาง Fed จะเริ่มส่ง สัญญาณ tapering ในการประชุมนี้เลยหรือไม่ ซึ่ง ถ้าเริ่มส่งสัญญาณอาจส่งผลให้ตลาดมีความ ผันผวนได้ระยะสั้น อย่างไรก็ตามปัจจัยสนับสนุน ภายในประเทศอย่างความคืบหน้าการฉีดวัคซีนและ ความหวังการกลับมาเปิดเมืองได้เร็วกว่าคาดจะช่วย สนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่ม reopening ที่ ยัง laggard อยู่อย่างเช่นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มโรง พยาบาล, กลุ่มขนส่ง, กลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่ม นิคม เป็นต้น

 

แนะ3 หุ้นเด่น BGRIM, KKP, BEM

 

มุมมองตลาดหุ้น/กลยุทธ์การลงทุน คาด กรอบ SET 1,620-1,630 จุดแนะ BGRIM, KKP, BEMดังนี้

 

นำโดย1. แนะนำ BGRIM (ราคาพื้น ฐาน 53.25 บาท) คาดว่ากำไร 2Q21 จะลด ลง YoY จากกำไร Fx ที่ลดลงแต่จะโตขึ้นได้ QoQ จากอุปสงค์ที่สูงขึ้นในเวียดนามที่คาดว่าจะ มีน้ำหนักมากกว่าต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ขณะที่ บริษัทจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ มากที่สุดบริษัทนึงในกลุ่ม จากสัดส่วนรายได้จ่าย ไฟให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม

 

ตัวที่2.คือ KKP (ราคาพื้นฐาน 72.00 บาท) ยอดสินเชื่อ เดือนเมษายนยังเติบโตได้ดี 2.8% MoM และคาดว่า ภาพรวม PPOP ปีนี้ยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้ข่าวแบงค์ชาติประกาศอนุญาติให้ธนาคารพาณิชย์ สามารถจ่าย interim dividend แบบมี เงื่อนไข ซึ่ง KKP จะสามารถจ่ายปันผลได้มากที่สุดในกลุ่มที่ 2.3% และมูลค่าหุ้นที่ยังน่าสนใจ

 

และสุดท้าย3.แนะนำBEM (ราคาพื้นฐาน 9.72 บาท) คาดว่ารายได้จะ ฟื้นตัวดีขึ้นจากปริมาณการใช้รถยนต์ที่กลับมาเพิ่ม สูงขึ้นรวมถึงการกลับมาใช้บริการรถไฟฟ้า ใต้ดิน หลังมีการเร่งฉีดวัคซีนทั่วประเทศ คาด CAGR ของกำไรปกติ 3 ปีที่ 26% จาก การกลับมาเปิดประเทศและการขยาย ระบบ MRT สายสีม่วงรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสัปดาห์นี้: วัน ศุกร์ ติดตาม ดัชนี Michigan Consumer Sentiment ของ สหรัฐฯ เดือน มิ.ย. คาด +1.3% MoM เป็น 84 จุด

www.mitihoon.com