บล.กสิกรไทยแนะ 5ธีมลงทุนเดือน เม.ย.66

551

มิติหุ้น – บล.กสิกรไทย ระบุว่า ฝ่ายวิจัยปรับลดเป้า SET ลงเป็น 1,666 จุด สะท้อนความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย/ stagflation ต่อกำไรของบริษัท เราปรับลดเป้า SET Index เป็น 1,666 จุด (จาก 1,768 จุด) โดยอิงตาม EPS เฉลี่ยปี 2566-67 ที่ 108 บาท และ PER ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 15.50 เท่า (หรือ +0.5SD)

เป้า SET Index ที่ลดลงนั้นเกิดจากการปรับเป้า PER ที่ 17 เท่า เป็น 15.50 เท่า เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว (stagflation) ที่อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน ปัจจุบันธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการบรรลุเป้าหมายด้านการเติบโต/เสถียรภาพทางการเงิน-ภาวะเงินเฟ้อไปพร้อมกัน อัตราเงินเฟ้อทียังสูงอยู่จะทำให้เฟดต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูง ทำให้เงินฝากธนาคารไหลไปสู่กองทุนรวมตลาดเงินมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิด Bank run หรือการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นของธนาคาร และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

โดยมีเงินฝากไหลออกจากระบบธนาคารสหรัฐฯ -8.62 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และส่วนหนึ่ง (5.77 แสนล้านดอลลาร์ฯ) ถูกย้ายเข้าสู่ตลาดเงินของสหรัฐ ตั้งแต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในปี 2565 จนถึงสิ้นเดือน มี.ค.2566

ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกปี 2566 ของไทยจะลดลง -1.2% YoY เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และประเทศในแถบอาเซียนจะลดลง -2% เป็น -4% ขณะที่การส่งออกไปจีนจะเติบโต 3.4% YoY กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกของไทยน่าจะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลง และการระบายสต็อกสินค้า ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็น downside ต่อ EPS ปี 2566 ของตลาดที่ 102 (+11.5% YoY)

แนวรับสำคัญของ SET Index อยู่ที่ระดับ 1,477-1,542 จุด ภายใต้แบบจำลอง PER EYG และ PBV แนวรับสำคัญของ SET Index คือ 1,542 จุด (PER เฉลี่ยที่ 14.34 เท่า) 1,503 จุด (EYG เฉลี่ยที่ 4.65%) และ 1,477 จุด (PBV ที่ 1.48 เท่า หรือ -1.5SD) ตามลำดับ

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหุ้นไทยปี 2566 คือ

การเติบโตของ GDP ปี 2566 ที่ 3.7% YoY ซึ่งได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศและการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

การเลือกตั้งทั่วไปและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน จะเป็นผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน/ภาครัฐ

จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็น 28.5 ล้านคนในปี 2566 เทียบกับ 11.2 ล้านคนในปี 2565

ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น หลังกลุ่มโอเปกพลัสเขย่าตลาดด้วยการลดเป้ากำลังการผลิตเพื่อประโยชน์ของกลุ่มพลังงาน

ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงมีธีมการลงทุน 5 ธีม ได้แก่

1.ธีมบริโภคภายในประเทศ (BBL CPN และ KLINIQ) คาด GDP ปี 2566 จะเติบโต 3.7% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศและการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น

2.ธีมการเลือกตั้งทั่วไปและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน (AMATA และ CK) จะเป็นผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน/ภาครัฐ

3.ธีมการท่องเที่ยว (AOT BDMS และ SNNP) คาดจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 28.5 ล้านคนในปี 2566 เทียบกับ 11.2 ล้านคนในปี 2565

4.ธีมป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมันและความเสี่ยงในการเกิด stagflation (PTTEP และ BCP) ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะเป็นบวกกับราคาขายของธุรกิจสำรวจและผลิต ขณะเดียวกันจะสร้าง stock gain ให้กับกลุ่มโรงกลั่น

5.หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว (GUNKUL) ชนะประมูลกำลังการผลิต 848MW ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ประเมิน upsides 24% ต่อ TP

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/

Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon

Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770

Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon