Wait & See รอความชัดเจนของทิศทางตลาด

46

แนวโน้มการลงทุนและทิศทางตลาดมักจะมีความไม่นอนอยู่เสมอๆนะครับ .. ความผันผวนของการลงทุนกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ ด้วย 2 ปัจจัยสำคัญคือ การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯและผลกระทบจากประเด็นสงครามการค้า โดยวันทำการแรกของสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งเอเชีย ยุโรป ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย SET Index ปรับตัวลงไป -24.30 จุด หรือ 1.41% ปิดดัชนีอยู่ที่ 1,696.22 จุด หลุดระดับ 1,700 จุดมาได้ โดยแรงขายที่เกิดขึ้นมาจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนทั่วโลก หลังจากที่สหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปและด้วยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ระบุว่าอาจจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดี ซึ่งนั่นทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นอย่างแรงมาอยู่ที่ระดับ 3.240% สูงสุดใหม่ในรอบ 7 ปี และส่งผลเงินลงทุนทั่วโลกมีทิศทางที่จะไหลเข้าตลาดสหรัฐฯ

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปก็ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน ทั้งตลาดหุ้นเยอรมัน , อังกฤษ , หุ้นฝรั่งเศส และอิตาลี โดยมีแรงขายออกมาในกลุ่มเทคโนโลยีเนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยุโรปที่ดีดตัวขึ้นตามผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และจากความกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอิตาลี

อีกประเด็นที่สำคัญคือ ผลจากสงครามการค้าของจีนที่ถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้านั้นทำให้การส่งออกของจีนลดลงและกระทบกับเศรษฐกิจ จึงเกิดความกังวลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ดังนั้นธนาคารกลางจีนจึงรับมือด้วยการออกมาตรการประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 1% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. นี้ ซึ่งมีผลให้เงินเข้าระบบเศรษฐกิจประมาณ 1.75 แสนล้านเหรียญฯ และทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงถึง 1% ถือเป็นสัญญาณในทางลบต่อตลาดเอเชียเนื่องจากเป็นคู่ค้ากับทางประเทศจีน

สำหรับตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ แม้ว่าจะมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรงและมีปัจจัยบวกสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ด้วยทิศทางของเงินที่ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ทำให้ตลาดหุ้นไทยจึงเจอแรงขายตามไปด้วย โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่หรือหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก

ดังนั้นการลงทุนที่ KTBST แนะนำในสัปดาห์นี้ คือต้องรอดูสถานการณ์ตลาด (Wait & See) โดยแนวรับสำคัญไว้ที่ 1,680 จุด หากดัชนี SET Index ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับนี้ แนะนำว่านักลงทุนควรลดการถือหุ้นที่เคลื่อนไหวตามทิศทางตลาดลงไปอีก และให้ความสนใจหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อย่างไรก็ตามจากการที่ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่เจอแรงขายอย่างต่อเนื่อง จากตัวเลขดัชนี MSCI Emerging Market ที่ปรับตัวลงไปว่า 21% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนซึ่งถือว่าระดับราคาค่อนข้างถูกและเริ่มทยอยเข้าลงทุนแม้ว่าจะมีปัญหาจากเงินทุนไหลออกและสงครามการค้าก็ตาม ถือว่าเป็นโอกาสการลงทุนที่มีให้เห็นในช่วงที่ตลาดโลกเจอวิกฤตเช่นนี้นะครับ

ชาตรี  โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ 

บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST)

www.mitihoon.com