กองทรัสต์ SHREIT ประกาศจ่ายผลตอบแทน และกำไรสะสมรวมเงินลดทุน 0.2561 บาทต่อหน่วย

109

มิติหุ้น -กองทรัสต์ SHREIT ประกาศจ่ายเงินผลตอบแทน และกำไรสะสมและเงินลดทุนจากสภาพคล่องส่วนเกินให้แก่ผู้ถือหน่วย ในอัตรา 0.2561 บาทต่อหน่วย รวม 10 เดือนแรกของปีนี้ จ่ายเงินตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยแล้ว 0.5997 บาทต่อหน่วย

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์    เตอร์ส จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์อิสระ เปิดเผยว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า ‘สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้’ หรือ SHREIT ประกาศจ่ายเงินผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยจำนวน 0.2561 บาทต่อหน่วย

การจ่ายปันผลสำหรับงวดการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ส.ค. – 31 ต.ค.2561 และกำไรสะสมและเงินลดทุนจากสภาพคล่องส่วนเกิน หลังผลงานไตรมาส 3/61 ที่มีกำไรสุทธิ 79.44 ล้านบาท ซึ่งเติบโตก้าวกระโดดจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 144% ทั้งนี้ ได้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยทรัสต์เพื่อสิทธิในการรับเงินจ่ายตอบแทน (Book Closing Date) ในวันที่ 19 ธ.ค. 2561 และจ่ายผลประโยชน์ในวันที่ 28 ธ.ค. 2561 นี้

ทั้งนี้ หากรวมการจ่ายเงินผลตอบแทนของกองทรัสต์ SHREIT ในงวดไตรมาส 1/61 และไตรมาส 2/61 รวมเป็นเงินจ่ายผลตอบแทนในจำนวน 0.3436 บาทต่อหน่วย โดยนักลงทุนที่ถือหน่วยทรัสต์ SHREIT ตั้งแต่วันที่เข้าทำการซื้อขายวันแรกใน ตลท. จะได้รับเงินจ่ายตอบแทนจากการลงทุนรวม 10 เดือน สิ้นสุดเดือนต.ค. 2561 รวมทั้งสิ้น 0.5997 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ SHREIT เป็นกองทรัสต์ที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทโรงแรมที่ให้เงินจ่ายตอบแทนจากการลงทุนติดอันดับต้นๆ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ความโดดเด่นของผลการดำเนินงานของกองทรัสต์ เป็นผลมาจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ SHREIT เข้าลงทุน ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม 3 แห่งในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ 1.โรงแรม Pullman Jakarta Central Park ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว 2.โรงแรม Capri by Fraser ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว และ 3.โรงแรม IBIS Saigon South ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม

ปัจจุบัน SHREIT อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนโดยสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อทำการเพิ่มทุนกองทรัสต์ไม่เกิน 415 ล้านหน่วย และกู้ยืมเงินไม่เกินประมาณ 67.5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 2,363 ลบ.) เพื่อลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ประเภทโรงแรมอีก 2 แห่ง ได้แก่ 1.) การลงทุนในสิทธิการเช่าโรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว และ 2.) การลงทุนกรรมสิทธิ์ในโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย