 ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า กระทรวงพลังงานมีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน ด้วยการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตไฟฟ้า และมาตรการต่อเนื่องระยะยาว ในการใช้น้ำมันปาล์มดิบผสมในไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้กำหนดแนวทางช่วยเหลือเกษตรกร ดังนี้
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า กระทรวงพลังงานมีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน ด้วยการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตไฟฟ้า และมาตรการต่อเนื่องระยะยาว ในการใช้น้ำมันปาล์มดิบผสมในไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้กำหนดแนวทางช่วยเหลือเกษตรกร ดังนี้
1. การใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้า
1.1 กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากพื้นที่แหล่งผลิตที่สำคัญ เช่น กระบี่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร เป็นต้น ในปริมาณ 160,000 ตัน เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
1.2 กฟผ. จะรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ในราคา 18 บาท/กก. ณ ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง โดยจะร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดหาจากเกษตรกรผู้ผลิตที่ลานเท และโรงสกัดที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยจะเริ่มรับซื้อตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 เป็นต้นไป และใช้ในการผลิตไฟฟ้าระหว่างเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2562
1.3 กฟผ. จะใช้เงินในการซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 2,880 ล้านบาท ซึ่งเป็นต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าค่าไฟฟ้า 1,354 ล้านบาท ซึ่งส่วนต่างดังกล่าวจะได้รับชดเชยต้นทุนจากกระทรวงพาณิชย์ 525 ล้านบาท และอีก 829 ล้านบาท จะทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ เพื่อให้เป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (PSA) ของ กฟผ. โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า
2. การใช้น้ำมันปาล์มดิบในภาคขนส่ง
ที่ผ่านมา ได้มีการผสมน้ำมันไบโอดีเซล ที่สัดส่วน 6.6 % ซึ่งมีการใช้น้ำมันปาล์มดิบ ประมาณ 1.2 ล้านตัน/ปี ซึ่งกระทรวงพลังงาน มีมาตรการที่จะผสมในสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 6.9 % และจะทำให้มีการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้น 80,000 ตัน/ปี
ในส่วนของน้ำมันไบโอดีเซล บี 20 มีการตั้งเป้าหมายไว้ที่ 15 ล้านลิตร/วัน ซึ่งจะใช้น้ำมันปาล์มดิบ ประมาณ 500,000 – 600,000 ตัน/ปี โดยในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ตั้งเป้าหมายการใช้น้ำมันปาล์มดิบ ประมาณ 200,000 ตัน
จากมาตรการดังกล่าวข้างต้น ทั้งมาตรการเร่งด่วนในการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันปาล์ม และการส่งเสริมการใช้เพิ่มขึ้นในภาคขนส่งในเดือนธันวาคมถึงพฤษภาคม 2562 จะมีการดูดซับน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นได้ ประมาณ 400,000 ตัน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาสต๊อกน้ำมันปาล์มส่วนเกิน
ทั้งนี้ แม้ว่ามาตรการดังกล่าวข้างต้น จะสามารถลดสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบสู่ระดับปกติและพยุงราคาปาล์มทะลายให้อยู่ระดับราคา 3.25 บาท/กก. ได้ แต่สภาพโดยรวมของตลาดน้ำมันปาล์ม ยังมีปัจจัยกดดันจากการที่สหภาพยุโรป มีข้อกำหนดห้ามไม่ให้มีการใช้น้ำมันปาล์มในส่วนของอาหารและเชื้อเพลิง จึงยังไม่ควรเพิ่มผลผลิตปาล์มทะลายในช่วงนี้
www.mitihoon.com
 
                






















