BCP ค่าการกลั่นไตรมาส 1/62 ทรงตัวใกล้เคียงไตรมาส 4/61 ไม่มีผลกระทบสต๊อกน้ำมัน มั่นใจ EBITDA ปี 62 โต 30% เป้ากำลังการกลั่น 115 KBD

235

มิติหุ้น – BCP ค่าการกลั่นไตรมาส 1/62 ทรงตัวใกล้เคียงไตรมาส 4/61 ไม่มีผลกระทบสต๊อกน้ำมัน คาดยอดขายน้ำมันรวมโต 3% มั่นใจ EBITDA ปี 62 โต 30% เป้ากำลังการกลั่น 115 KBD คาดราคาน้ำมันเฉลี่ย 65-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. บางจากคอร์ปอเรชั่น หรือ BCP โดยนายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เผยว่า คาดว่าค่าการกลั่นรวม (GRM) ในช่วงไตรมาส 1/62 จะทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 4/61 ที่อยู่ระดับ 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากในช่วง ม.ค.-ก.พ.62 ที่ผ่านมา ถูกกดดันจากส่วนต่าง (สเปรด) น้ำมันเบนซินและน้ำมันดิบที่ลดลงมาตั้งแต่ปีที่แล้วที่อยู่ราว 2-3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินชะลอตัว ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ยังทรงตัวในระดับ 65-70 คาดว่า ไตรมาส 1 นี้ จะไม่ได้รับผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน ส่วนกำลังการกลั่นในปัจจุบันของบริษัทอยู่ที่ราว 110,000 บาร์เรลต่อวัน

อย่างไรก็ตาม สเปรดน้ำมันเบนซินเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นในเดือนมี.ค. หลังจากที่โรงกลั่นในยุโรปและเอเชียเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นตั้งแต่ มี.ค.-มิ.ย.62 ขณะที่ราคาเบนซินสูงขึ้นและปริมาณน้ำมันดิบจากสหรัฐเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบไม่ได้สูงขึ้นมาก ทำให้สเปรดน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นมาที่ราว 7-8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะเป็นปัจจัยหนุนให้ค่าการกลั่นรวมในช่วงไตรมาส 2/62 กับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างชัดเจน

สำหรับยอดขายน้ำมันรวมของบริษัทในไตรมาส 1/62 คาดว่าจะเติบโต 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นับว่าเป็นการขยายตัวมากกว่าอุตสาหกรรมที่เติบโตราว 2.5% ส่วนทิศทางในไตรมาส 2/61 คาดว่าตลาดอาจจะดีขึ้นหลังการเลือกตั้งที่อาจจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันกลับมาเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่อาจจะฟื้นตัวขึ้น

ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปีนี้จะเฉลี่ยในกรอบ 65-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล คาดว่าค่าการกลั่นปีนี้มีโอกาสอยู่ในระดับ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะกำลังการกลั่นยังคงตั้งเป้าไว้ 115,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากปัจจัยด้านสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกามีความผ่อนคลายขึ้น ประกอบกับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้เลื่อนการประชุมในออกไปจากเดือนเม.ย.บ่งชี้ว่าโอเปกจะยังคงแผนลดกำลังการผลิตต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐฯ เพิ่มกำลังการผลิตจะส่งผลให้ราคาน้ำมันตลาดโลกมีความสมดุลขึ้นระหว่างความต้องการใช้กับปริมาณผลิต ส่วน EBITDA ปีนี้มั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายเติบโต 30%

www.mitihoon.com