ข้อพิพาทการค้า ตลาดยังล้าไม่พอ?

70

ตลาดโลกซึ่งเผชิญคลื่นสงครามการค้ามาเป็นแรมปี ต้องสั่นสะเทือนอีกครั้งหลังนักเจรจาต่อรองอย่างประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าดีลการค้ากับจีนอาจต้องรอหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อนักลงทุนที่แสดงอาการเหนื่อยล้ามาพอสมควรกับสัญญาณที่พลิกผันรายวัน ขณะที่รมว.พาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่าการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ดำเนินต่อไปแต่ยังไม่มีการกำหนดเวลาสำหรับการเจรจาระดับสูง โดยหากขาดความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญก่อนวันที่ 15 ธันวาคม ซึ่งการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่เหลืออยู่บนสินค้าของจีนมูลค่า 1.56 แสนล้านดอลลาร์ทั้งสินค้าเทคโนโลยีและของเล่นจะมีผลบังคับใช้

แต่แล้วในสัปดาห์เดียวกันผู้นำสหรัฐฯ กลับกล่าวว่าการเจรจากับจีนกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยทรัมป์ให้ความเห็นว่าต้องรอดูสถานการณ์และไม่ได้กล่าวชี้นำว่าจะบังคับให้ภาษีนำเข้าระลอกใหม่วันที่ 15 ธันวาคมตามแผนหรือไม่ ทางด้านจีนยืนยันว่าจำเป็นต้องมีการปรับลดภาษีศุลกากรลงเพื่อแลกกับข้อตกลงการค้าในเบื้องต้น อย่างไรก็ดี จีนระบุในภายหลังว่าจะยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าจากเนื้อสุกรและถั่วเหลืองบางรายการที่ซื้อจากสหรัฐฯ โดยจะขึ้นอยู่กับการยื่นคำร้องของบริษัทแต่ละราย ทั้งนี้ จีนเริ่มเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% จากสินค้าดังกล่าวตั้งแต่กลางปี 2561 ขณะที่จีนพยายามหาซื้อเนื้อสัตว์จากหลายแหล่งในช่วงที่เกิดภาวะขาดแคลนโปรตีนท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโรคอหิวาต์สุกรแอฟริกัน

เมื่อมองไปข้างหน้า เราคาดว่าแม้ยังมีโอกาสที่ทั้งสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกจะได้ดีลเฟสหนึ่งก่อนสิ้นปีนี้ แต่หนทางการเจรจาการค้าในขั้นต่อๆ ไปยังอีกยาวไกล นอกจากนี้ การเมืองสหรัฐฯ จะเข้มข้นมากขึ้นในปี 2563 ซึ่งเป็นปีเลือกตั้งประธานาธิบดี อัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนมากขึ้นหลังจากช่วงไตรมาส 4/2562 หลายสกุลเงินย่ำฐานในกรอบ โดยตลาดจะจับตาไม่เพียงแต่กลยุทธ์การต่อรองทางการค้าระหว่างทรัมป์กับประเทศคู่ค้าหลักเท่านั้น แต่ยังให้ความสนใจกับการเดินเกมเพื่อเรียกคะแนนความนิยมของพรรครีพับลิกันและเดโมแครต

ประเด็น Brexit ช่วงรอยต่อหลังเลือกตั้งใน สหราชอาณาจักร แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ มาตรการทางการคลังในยุโรป นโยบายค่าเงินหยวนของจีน รวมถึงเงินบาทที่คาดว่าอาจเริ่มมีจังหวะอ่อนค่าได้บ้างหลังจากทำสถิติแข็งค่าสุดในภูมิภาคในปีนี้กว่า 7% (กราฟด้านล่าง) และไม่เกาะกลุ่มสกุลเงินคู่แข่งและคู่ค้า อย่างไรก็ดี ถึงแม้การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะเริ่มแคบลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงทางการเมืองในสหรัฐฯ รวมถึงการเข้าสู่ช่วงปลายวัฎจักรการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มกดดันค่าเงินดอลลาร์และพยุงราคาทองคำ เราจึงประเมินว่าในภาพรวมเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าราว 2% ในปี 2563

โดย คุณรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการ
ผู้บริหารฝ่ายส่งเสริมธุรกิจโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)