กระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก แค่บรรเทา แต่ยังไม่ได้แก้ปัญหา

64

รู้ทันการลงทุน กับ KGI (สุโชติ ถิรวรรณรัตน์)

                ดัชนี SET index สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับลงแรงจนทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศต้องใช้มาตรการ Circuit breaker ถึง 2 ครั้ง (ดัชนี SET index ปรับลงแตะระดับ 10%) แรงขาย Panic sell เกิดจากปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้หลายประเทศต้องใช้มาตรการคุมเข้มการเดินทาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก แม้ว่าธนาคารกลางและกระทรวงการคลัง หลายประเทศออกมาตรการการเงินและการคลัง เพื่อพยุงเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้ทำให้นักลงทุนในตลาดการเงิน (ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ตลาดทองคำ) ลดความกังวลจากปัญหาด้านสาธารณสุขระดับโลกรอบนี้ได้ เนื่องจากมาตรการต่างๆเป็นเพียงการบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่เป็นผลต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสฯ แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสฯ จึงเกิดการ Panic sell ขายสินทรัพย์ในตลาดการเงิน ไม่ว่าสินทรัพย์นั้นในเชิงพื้นฐานแล้วจะได้รับกระทบจากปัญหานี้หรือไม่ก็ตาม เพื่อถือ “เงินสด” ให้มากที่สุด

                อย่างไรก็ดี เราประเมินดัชนี SET index ปรับลงแรงรอบนี้ ลงไปทำจุดต่ำสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ 969 จุดนั้นน่าจะสะท้อนความกังวลต่างๆ พอสมควรแล้ว โดย ณ ระดับ ดังกล่าว PE ของ SET index ต่ำเพียง 12.1 เท่า (หลังการปรับลดประมาณการล่าสุดโดยฝ่ายวิจัยฯ อยู่ที่ 80 บาท/หุ้น ลดลง -9% YoY) และหากพิจารณาเทียบตลาดพันธบัตรจะพบว่า Earnings yield gap เทียบพันธบัตรอายุ 5 – 10 ปีนั้น สูงถึง +7% ซึ่งระดับที่เคยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั้น Earnings yield gap จะสูงราว 8% (เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เป็นการ Panic sell เช่นกัน)

ดังนั้นเราเชื่อว่า Downside ของตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะไม่มากแล้ว กรณีเลวร้ายสุดไม่น่าต่ำกว่า 880 จุด (ณ ระดับนั้น Earnings yield gap 8%) แต่ Upside ของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น (เดือน มี.ค.) น่าจะไม่มากเช่นกัน ประเมินไว้ที่ 1200 – 1250 จุด เนื่องจากยังมีระเบิดเวลาเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสฯในประเทศไทย ที่รอเพียงเวลาเท่านั้นที่จะเข้าสู่ “ระยะที่ 3” เมื่อใด หากการแพทย์ของโลกยังไม่สามารถพัฒนาวัคซีนป้องกันได้

                สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ เราแนะนำให้ ย่อซื้อสะสม ไม่ไล่ราคา (เว้นแต่การเก็งกำไรสั้น จากความผันผวนของตลาดฯ) โดยเน้นไปที่หุ้นพื้นฐานดี และความเสี่ยงเรื่องของการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ โดยเราเลือกหุ้นเด่น 4 ตัว สำหรับการสะสมเพื่อลงทุนระยะยาว (3 – 6 เดือน) ดังนี้ 1) AOT*: D/E < 1 เท่า และราคาหุ้น < 2/3 ของ Tangible book value, 2) INTUCH*: D/E < 1 เท่า และ Dividend yield +6% 3) EGCO*: D/E < 1 เท่า และ Dividend yield 3.2% 4) BBL* PBV 0.48 เท่า ต่ำใกล้เคียงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540

www.mitihoon.com