ม.หอการค้าไทย เผยเทรนด์ลงทุนปี 65 จัดเสวนา “วิเคราะห์แนวโน้มการลงทุน ปี 2565 เจาะลึกหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศและคริปโต”

213

 

มิติหุ้น-หลักสูตร aMBA (Analyst MBA) โดยความร่วมมือระหว่างบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาออนไลน์หัวข้อ “วิเคราะห์แนวโน้มการลงทุน ปี 2565 เจาะลึกหุ้นไทยหุ้นต่างประเทศและคริปโต” เจาะลึกสถานการณ์เศรษฐกิจ และ       เทรนด์การลงทุนที่น่าสนใจในปี 2565 ทั้งแนวโน้มธุรกิจอนาคตไกล หุ้นที่น่าสนใจ และคริปโต โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ได้แก่ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คุณกัณฑทรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บมจ.หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส และคุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา CEO of Bitkub Capital Group Holdings Co.,Ltd. ร่วมเสวนา เมื่อเร็ว ๆ นี้

โดย รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ดีขึ้นเป็นลำดับ ดูได้จากตลาดหุ้น และราคาน้ำมัน รวมถึง Cryptocurrency ที่แสดงให้เห็นแนวโน้มการลงทุนเหล่านักลงทุนมีความมั่นใจต่อการลงทุนในอนาคตแค่ไหน โดยทั่วไป การสังเกตการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากพฤติกรรมของผู้บริโภคในด้านกำลังซื้อ

รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก กล่าวคือหากราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น จะเป็นการชี้วัดได้ถึงความต้องการซื้อของภาคประชาชนเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การเดินทาง การขนส่ง การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม ฯลฯ จากช่วงปลายปี 2020 จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันอยู่ 60 – 65 ดอลลาร์ต่อบาเรล จนกระทั่งปลายปี 2564 ก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ราคาน้ำมันอยู่ที่ 80-85 ดอลลาร์ต่อบาเรล และจนกระทั่งการแพร่ระบาดของโอมิครอนเกิดขึ้น องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (อังกฤษ: Organization of Petroleum Exporting Countries) หรือ โอเปก (OPEC) ได้ทำการควบคุมปริมาณน้ำมันให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

โดยราคาน้ำมันลดลงมาอยู่ที่ 70 -75 ดอลลาร์ต่อบาเรล เพราะฉะนั้นการที่ราคาน้ำมันปรับตัวดีขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าโลกมีความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้น ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจโลกมีความฟื้นตัว ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ประเทศไทยจึงได้อานนิสสงข์นี้อย่างชัดเจน โดยสังเกตได้จากอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 15 ของธุรกิจส่งออกซึ่งถือเป็นจุดชูโรงทางเศรษฐกิจ ตลอดระยะเวลา 5-10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการส่งออกทั่วโลก ทั้งในแถบเอเชีย อาเซียน และยุโรป แสดงให้เห็นถึงกำลังการจับจ่ายใช้สอยของตลาดโลก

โดยเป็นผลพวงมาจากประชากรโลกได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่น้อยกว่า 3 เข็ม ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นที่จะกลับมาใช้ชีวิตและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการผ่อนปรนมาตรการการล็อคดาวน์หลังจากเดือน กันยายน 2564 จนกระทั่งการมาของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อย่างโอมิครอน ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเกิดการผันผวนอีกครั้ง เนื่องจากยังขาดข้อมูลที่ชี้ชัดถึงระดับความรุนแรง และความสามารถในการป้องกันโรคจากวัคซีน แต่ยังไม่เป็นที่น่าวิตกกังวลนัก

“อย่างไรก็ดี ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอกาค้าไทย ได้พยากรณ์ถึงธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตน่าจับตามอง 3 อุตสาหกรรมหลัก ทั้งในมิติด้านการลงทุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจ รวมถึงการลงทุนในตลาดหุ้น ได้แก่ ธุรกิจสุขภาพและความงาม อาทิ โรงพยาบาล คลินิกเสริมความงาม ดูแลผิวพรรณ ศัลยกรรม อาหารฟังชั่น (Functional Food) เนื่องจากเทรนด์ของสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) กำลังเริ่มมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของผู้คน ทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพความงามมากขึ้น

อีกกลุ่มที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ E-Commerce แอพลิเคชันที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) รวมถึง Platform ช็อปปิ้งออนไลน์ รองรับกระแสการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคสู่ยุค Metaverse และอีกกลุ่มธุรกิจที่สอดคล้องกับค่านิยมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง Green Environment อย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า Electronic Vehicle (EV) แผงโซล่าเซลล์ ผลิตภัณฑ์ทดแทนการใช้พลาสติกหรือกระดาษเพื่อช่วยลดการสร้างขยะ ซึ่งโดยร่วมจะเป็นธุรกิจที่เอื้อต่อการลดคาร์บอนไดออกไซด์บนชั้นบรรยากาศโลก” อธิการบดี ม.หอการค้าไทย กล่าวทิ้งท้าย

คุณกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บมจ.หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวถึงหุ้นที่จับตามองในปี 2022 ว่า CK มีราคาปัจจัยพื้นฐานอยู่ 26 บาท หากมีการเปิดประเทศจะนำไปสู่ความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนเพื่อก่อสร้างระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าอีกหลายเส้นทาง

ดังนั้น CK จึงถือเป็นตัวแรกที่น่าจับตามองของเหล่านักลงทุน และต่อมาคือ CPALL โดยมีราคาพื้นฐานอยู่ที่ 82 บาท ซึ่งล่าสุดการเข้าซื้อกิจการของ Lotus ซึ่งแม้ว่าเดิมที่จะอยู่ในภาวะขาดทุน แต่การควบกิจการจะส่งผลให้ Lotus มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในกับ CP All ประกอบกับการขยายกิจการในส่วนของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ลาว ซึ่งยังอยู่ในช่วง Growth stage กล่าวได้ว่า CP All ก็ถือเป็นหนึ่งในหุ้นไทยที่น่าสนใจ รวมถึง CRC ราคาปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 40 บาท

โดยไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เริ่มกลับมาทำกำไร ถึงแม้จะมีประเด็นว่าการค้าปลีกจะถูก disrupt โดย E-Commerce นั้น ไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งมีช่องทางการจำหน่ายสินค้าทั้งทาง offline และ online จึงถือว่าเป็นหนึ่งในหุ้นไทยที่น่าสนใจ ต่อมาอยู่ในกลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาด อย่าง GPSC ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 100 บาท

อย่างที่ทราบกันดีว่าเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างรถยนต์ไฟฟ้า EV กำลังจะเข้ามาตีตลาด ในขณะที่ภาครัฐเองก็มีแนวโน้มที่จะลดหย่อนภาษี จึงมีความน่าสนใจในแง่ของการลงทุน และ JR ราคาปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 10 บาท ซึ่งความน่าสนใจนั้นก็เนื่องมาจากแนวทางการแก้ปัญหาสายส่งไฟฟ้าในประเทศไทยที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และอื่น ๆ อีกหลายตัว โดยนักลงทุนสามารถตรวจสอบ สังเกตสถานการณ์ของตลาดหุ้นได้ ผ่าน Finansia HERO แอพลิเคชันที่จะนักวิเคราะห์การลงทุน พร้อมคำแนะนำจากโบรกเกอร์ผ่านทางออนไลน์

คุณกัณฑรา แนะนำเพิ่มเติมว่าแนวทางการจัดพอร์ตการลงทุนสำหรับนักลงทุนชาวไทย ยังควรยึดหุ้นไทยเป็นหลักเนื่องจาก นักลงทุนไทย มีความใกล้ชิดกับข้อมูล สามารถเข้าใจทิศทางความเคลื่อนไหวของธุรกิจได้ไม่ยาก ในขณะที่หุ้นต่างประเทศ เราสามารถซื้อผ่านกองทุนรวมได้ ซึ่งถึงแม้ว่าหุ้นต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา จีน เวียดนาม ฯลฯ จะมีความน่าสนใจ อย่างไรก็ตามก็ควรจัดพอร์ตผ่านกองทุนรวม ภายใต้การดูแลของโบรกเกอร์ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ

คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา CEO of Bitkub Capital Group Holdings Co.,Ltd. ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มอนาคตของ Cryptocurrency โดยเฉพาะเทรนด์ในปี 2022 ว่า เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2021 อาจเรียกได้ว่าเป็นปีทองที่แท้จริงสำหรับวงการ Cryptocurrency ซึ่งโดยมูลค่าของเหรียญคริปโตในหลายสกลุเอง รวมถึงจำนวนของผู้ใช้งานที่เข้าสู่วงการนี้อย่างก้าวกระโดดขึ้นมาจากในปี 2020 หลายเท่าตัว โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้วงการ Cryptocurrency เติบโตได้เช่นนี้

เป็นผลเนื่องมาจากการที่คนทั่วโลกตื่นตัวกับกับเทรนด์การมาของ Digital asset มากขึ้น โดยแนวโน้มดังกล่าว กำลังจะขยายตัวสู่การเป็น all asset ที่เราสามารถอัปโหลดสินทรัพย์ต่าง ๆ เข้าไปสู่โลกออนไลน์ซึ่งทำให้เศรษฐกิจโลกพัฒนาสู่ Digital economy ซึ่งผู้คนไม่จำเป็นต้องจับต้องสินทรัพย์เหล่านั้น ด้วยการมาของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่จะเข้ามาปฏิวัติ โดยในทุก ๆ 10 ปี จะมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีซึ่งจะส่งผลต่อธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม โดยเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนกำลังจะผ่านไป และตั้งต้นตั้งแต่ปี 2020-2030 จะเป็นยุคแห่งการเริ่มต้นของ “เว็บ 3.0” ถือเป็นความก้าวหน้าของระบบอินเตอร์เน็ตที่บทบาทการกำหนด ควบคุมระบบต่าง ๆ จะไม่ได้เป็นของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่จะกลายเป็นบทบาทการควบคุมของผู้ใช้งานทั่วโลก กล่าวคือทุกคนมีสิทธิ์ในฐานะเจ้าของและมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงนั่นเอง ซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อมกับการมาถึงของบล็อกเชน, internet of thing, AI, VR และ Metaverse เป็นต้น

ในขณะที่ภาพรวมตลาดคริปโตในปี 2021 ที่ผ่านมามีการเติบขึ้นถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนจะย่อตัวลงเหลือประมาณ 2.5-2.6 ล้านล้าน ซึ่งหากทิศทางสถานการณ์ของโควิด-19 ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลาย รัฐบาลในหลายประเทศต้องเร่งอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ทำให้มีเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่สินทรัพย์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดคริปโต ที่อาจมีเม็ดเงินบางส่วนไหล่เข้าสู่สินทรัพย์ชนิดนี้ และอาจทำให้ตลาด Cryptocurrency มีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีกมากกว่าเท่าตัวในปี 2022 นี้

“ถึงแม้ว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดคริปโตสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังถือว่าเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ แต่ในระยะยาว เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเติบโตขึ้น และสังคมโลกก้าวสู่เว็บ 3.0 อย่างแท้จริง ก็จะทำให้ Digital asset เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ตลาดคริปโตจะขยายตัวขึ้น มีความก้าวหน้ามากกว่าในปัจจุบันแน่นอน” คุณจิรายุส กล่าวย้ำถึงแนวโน้มของ Cryptocurrency ในอนาคต ชี้ให้เห็นว่า หากใครยังยึดติดอยู่กับเทคโนโลยีเดิม ๆ โดยที่ไม่ปรับตัวเข้าสู่เทรนด์ที่ไม่มีทีท่าจะหยุดนิ่ง ก็ย่อมเสียผลประโยชน์และมีโอกาสกับทางรอดน้อยลงไป ท่ามกลางสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดสอนหลักสูตร aMBA (Analyst MBA) หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต ซึ่งร่วมพัฒนากับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเชื่อมโยงเข้ากับหลักสูตร AISA เพื่อสร้างมหาบัณฑิตที่มีองค์ความรู้สู่การเป็นบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์การเงิน หลักทรัพย์ และการจัดการการลงทุน

โดยบูรณาการองค์ความรู้จากนักวิชาการและนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จริงจากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศ สร้างโอกาสในการก้าวสู่เส้นทางนักวิชาชีพการเงิน พร้อมรับทุนสนับสนุนการสอบ AISA ฟรี โดยผู้สนใจสมัครเรียน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบัณฑิตวิทยาลัย เว็บไซต์ https://gs.utcc.ac.th/amba/  LINE Official : @gsutcc Facebook : GS UTCC บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และหมายเลขโทรศัพท์ : 095-367-5512

 

🚩🚩ห้อง Official Line ห้องไลน์ฟรี มิติหุ้น ทันทุกสถานการณ์การลงทุน หุ้นเด่น หุ้นเด็ดตลอดวัน กับห้องไลน์ @mitihoonwealth ห้องไลน์ที่นักลงทุนเข้าเป็นสมาชิกฟรี ไม่มีเงื่อนไข เพียงคลิกลิงค์นี้ก็เข้าได้เลย และสามารถส่งต่อให้เพื่อนได้

https://lin.ee/cXAf0Dp