‘CV’ เปิดผลงาน Q1/65 กวาดรายได้ 620.07 ล้านบาท เติบโต 69.37% เซ็นสัญญาเข้าลงทุนบริษัท DKC Energy รุกธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ดในเวียดนาม ตอกย้ำผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร ดันรายได้ทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 70%

131

มิติหุ้น – ‘บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์’ หรือ CV เผยผลการดำเนินในไตรมาส 1/65 มีรายได้รวม 620.07 ล้านบาท เติบโต 69.37% และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 14.97 ล้านบาท ล่าสุดเซ็นสัญญาเข้าลงทุนใน DKC Energy ประเทศเวียดนาม มูลค่ากว่า 227.2 ล้านบาท เพื่อต่อยอดธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellets) ดันรายได้ทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 70% ตอกย้ำผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร

นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวม 620.07 ล้านบาท เติบโต 69.37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 366.10 ล้านบาท โดยเป็นผลเติบโตจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.) กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า CV ได้มุ่งเน้นพัฒนาและกระจายการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีจากพลังงานหมุนเวียนหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ชีวมวล ขยะ ก๊าซชีวภาพ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 5 โครงการ  กำลังการผลิตติดตั้งรวม 33.56 เมกะวัตต์ โดยในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าทั้งสิ้น 150.50 ล้านบาท เติบโตกว่า 7.56%

2.) ธุรกิจด้านวิศวกรรม (Engineering) บริษัทฯ ได้ขยายขอบเขตการให้บริการสู่ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป (General Construction) เช่น การก่อสร้างอาคาร โรงพยาบาล เป็นต้น และธุรกิจ MODULAR Construction ส่งผลทำให้สามารถรับงานได้หลากหลายมากขึ้น โดยในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีรายได้กลุ่มธุรกิจด้านวิศวกรรม 370.13 ล้านบาท เติบโตกว่า 73.06% ปัจจุบันมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 1,828 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 60-70% และ 3.) ธุรกิจเชื้อเพลิง (Fuel Support) ซึ่งบริษัทฯ ขยายการลงทุนเข้าสู่ธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีรายได้กลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิง 90.31 ล้านบาท เติบโตกว่า 100% เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/2565

ขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ทำได้ 14.97 ล้านบาท ลดลง 43.34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีก่อนที่ทำได้ 26.42 ล้านบาท โดยเป็นผลกระทบจากต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงที่ดียิ่งขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CV กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายรายได้ในปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 70% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,735.87 ล้านบาท มุ่งตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร ล่าสุดได้เข้าลงทุนในบริษัท DKC Energy Joint Stock Company (“DKC Energy”) ในประเทศเวียดนาม จำนวน 105,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดของ DKC Energy โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 153,825,766,000 ดองเวียดนาม หรือคิดเป็นมูลค่า 227.20 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellets) มีกำลังการผลิต 89,000 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ โดยมั่นใจว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต สอดรับกับนโยบายภาครัฐที่ให้การสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอื่นอย่างเต็มที่ ซึ่งคาดว่าเฉพาะรายได้จากธุรกิจ Wood Pellets ในปีนี้จะมีผลให้รายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขายหุ้นบริษัท รุ่งทิวา ไบโอแมส จำกัด (RTB) ทั้งหมดจำนวน 725,001 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 25 ของทุนชำระแล้ว ให้แก่บริษัท เอ็มพี เอ็นเนอร์ยี จำกัด คิดเป็นมูลค่า 92.50 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้และบันทึกกำไรในไตรมาส 2/2565 ทั้งนี้ RTB เป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา

“เป้าหมายผลการดำเนินงานในปี 2565 คาดว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาส 1/65 ที่มีอัตราเติบโตไม่ต่ำกว่า 70% ซึ่งเป็นผลเติบโตจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก แม้ในปีนี้จะยังไม่มีโรงไฟฟ้าที่ COD เพิ่มเข้ามา แต่รายได้จากการขาย
ไฟฟ้ายังมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง อีกทั้งล่าสุดเราได้ขยายเข้าไปลงทุนในธุรกิจ Wood Pellets ร่วมกับพันธมิตรในประเทศเวียดนาม ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและมีศักยภาพ ซึ่งนอกจากรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นแล้ว ยังช่วยเสริมเสถียรภาพและความมั่นคงของวัตถุดิบหลักที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของกลุ่ม CV ในอนาคตอีกด้วย” นายเศรษฐศิริ กล่าว

 

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp