KBank Private Banking ผนึก Lombard Odier คาดเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังลงจอดแบบซอฟท์แลนดิ้ง

256

มิติหุ้น  –  นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีตลาดลงทุนมีความกังวลต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะกดดันแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดให้เกิดขึ้นแบบรุนแรงและรวดเร็ว ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ปะทุขึ้น ทำให้ตลาดกังวลต่อปัญหาการขาดแคลนน้ำมันดิบและวัตถุดิบต่าง ๆ ส่งผลให้ราคาน้ำมันขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลกที่ทรงตัวในระดับสูงอยู่แล้ว จึงทำให้ในช่วงกลางเดือนมีนาคม เฟด มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่ปี 2561 ที่ 0.25% ซึ่งเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะ ล่าสุดเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมปรับขึ้นเกินกว่าที่ตลาดคาด โดยทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 40 ปี ที่ 8.6% เมื่อเทียบปีต่อปี จากราคาพลังงานที่กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากจีนผ่อนคลายล็อคดาวน์ ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสะกัดเงินเฟ้อ ซึ่งทุกๆ เหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ล่วนส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง จากการที่นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง และเข้าถือเงินสดมากขึ้น 

ด้านนางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดการลงทุนในช่วงนี้ผันผวนกว่าปกติ ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ต่างๆ อยู่ในทิศทางขาลงจากข่าวร้าย ไม่ว่าจะเป็น อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังคงปรับเพิ่มขึ้น และยังไม่เข้าสู่แนวโน้มขาลงตามเป้าหมายของเฟด จากราคาพลังงานและบริการที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้นโยบายการเงินมีทิศทางตึงตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากการประชุมครั้งล่าสุดในวันที่ 1415 มิถุนายนที่ผ่านมา เฟด ได้มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในครั้งเดียว เป็นไปตามตลาดคาด ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันของเฟด อยู่ที่ 1.51.75% พร้อมทั้งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เร่งขึ้น โดยจะขึ้นดอกเบี้ยอีกทั้งหมด 1.75% ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2565  อยู่ที่ 3.4% มากกว่าเดิมที่ประเมินไว้ในการประชุมเดือนมีนาคมที่ 1.9% ทั้งนี้ ด้านภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ตลาดแรงงานยังคงตึงตัว โดยอัตราการว่างงานยังใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะเริ่มมีสัญญาณลบจากตลาดบ้านบ้าง หลังจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการซื้อทำให้ยอดขายบ้านลดลง

ด้านจีนที่ค่อยๆ กลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในแบบระมัดระวัง หลังยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงแสดงให้เห็นว่ามาตรการการล็อคดาวน์ได้ผล อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนผู้ติดเชื้อในจีนจะลดลง แต่แนวโน้มผู้ติดเชื้อที่อื่น ๆ ในเอเชีย อย่างฮ่องกงและเกาหลีใต้กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้จีนต้องกลับมาใช้มาตรการ Zero COVID จนถึงไตรมาส และถ้าหากจีนกลับมาล็อคดาวน์ก็จะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับสงครามรัสเซีย – ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ก็ทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากการเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทานเช่นกัน สำหรับความเป็นไปได้ต่อไปของสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย – ยูเครนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับมหภาคทั่วโลก แบ่งเป็น กรณี คือ 1) สงครามยืดเยื้อ กระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ความน่าจะเป็น: สูง ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 1% 2) สงครามทวีความรุนแรงและรวดเร็ว เกิดความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ความน่าจะเป็น: ต่ำ ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 2% 3) ความขัดแย้งคลี่คลาย ความน่าจะเป็น: ต่ำกว่า ส่งผลให้ GDP โลก ลดลง 0.5%

ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Senior Managing Director, Private Banking Business HeadPrivate Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องนี้เข้าใกล้เกณฑ์หดตัว ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อาจนำไปสู่ตลาดหมีหรือตลาดขาลง ในสภาวะเศรษฐกิจและตลาดเช่นนี้ KBank Private Banking และ Lombard Odier ยังคงเน้นย้ำกลยุทธ์การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง โดยแนะนำให้ปรับกลยุทธ์และสัดส่วนการลงทุนในประเภทสินทรัพย์สำหรับครึ่งปีหลัง 2565 ดังนี้

ประเภทสินทรัพย์ 

น้ำหนัก 

ด้วยสาเหตุ 

 

Cash (เงินสด) 

2% 

ลดสัดส่วนการถือครองเงินสด เพื่อไปลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น 

Fixed Income (ตราสารหนี้) 

36% 

เพิ่มน้ำหนักการลงทุน เนื่องอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากพันธบัตรรัฐบาล น่าสนใจมากขึ้น

Equities (หุ้น) 

45

คงน้ำหนักการลงทุนในหุ้น

ถ้าหากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนคลี่คลาย และเศรษฐกิจโลกรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะหนุนการลงทุนในหุ้น

Valuation อยู่ในเกณฑ์น่าสนใจมากขึ้นหลังตลาดหุ้นปรับลงแรงจาก Sentiment เชิงลบ  

Alternative (สินทรัพย์ทางเลือก) 

17% 

เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในยุโรป คาดว่าสินทรัพย์กลุ่มคุณค่า (Value) จะฟื้นตัวได้ดี 

ลดน้ำหนักการลงทุนในทองคำ แต่ให้น้ำหนักลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อกระจายความเสี่ยง 

   

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารยังคงแนะนำกระจายการลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ผ่านกองทุนผสมเพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลง โดยกองทุนผสมอย่าง KALLROAD Series ที่ได้เปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีขนาดของกองทุนรวมกว่า พันล้านบาท* ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้วยสภาพตลาดการลงทุนในปัจจุบัน ธนาคารยังแนะนำให้ลูกค้ากระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น กองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity Fund) ซึ่งกองทุนที่ธนาคารแนะนำสามารถสร้างผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่ดีให้กับพอร์ตลูกค้าได้สูงถึง 61.4%** และ 12.8%** 

นอกจากนี้ ตลอดครึ่งปีหลัง 2565 ธนาคารยังมีแผนที่จะแนะนำผลิตภัณฑ์ทางเลือกการลงทุนอื่น เช่น Sustainable Global Balanced (กองทุนผสมที่เน้นลงทุนแบบยั่งยืน), China Sustainable Equity (หุ้นจีนที่เป็นธีมหุ้นยั่งยืน), Global Private Debt (ตราสารหนี้นอกตลาดทั่วโลก), Global Private Equity (กองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วโลก), Hybrid Global Private Asset (สินทรัพย์นอกตลาด), Global and Local Private Real Estate(อสังหาริมทรัพย์นอกตลาด), Quantitative Hedged Fund Strategy (กองทุน Hedge Fund ที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนด้วยกระบวนการคณิตศาสตร์และสถิติจากข้อมูลเชิงปริมาณ) และ Exotic Structured Note (หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงแบบต่างๆ) เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับพอร์ตการลงทุนของลูกค้าได้ในปี 2565 นี้ 

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp