EPG มั่นใจแนวโน้มธุรกิจปี 65/66 (เม.ย.65 – มี.ค.66) ยอดขายเติบโตตามเป้าหมาย 12 – 15 % มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29 – 32%

173

มิติหุ้น – รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า ในปีบัญชี 65/66 (เม.ย.65 – มี.ค.66) บริษัทมั่นใจว่ายอดขายจะเติบโตได้ที่ 12 – 15% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29 – 32% ตามเป้าหมายที่ได้แถลงไว้ก่อนหน้านี้ โดยผลประกอบการจะทยอยดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปีบัญชี 65/66 (ก.ค.65 – ก.ย.65) และในไตรมาสต่อ ๆ ไป มาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX เติบโตจากการทำตลาดสำหรับสินค้า พรีเมี่ยมเป็นหลักทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศ มีคำสั่งซื้อจากธุรกิจที่เคยชะลอการลงทุนกลับเข้ามา ในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการสินค้าฉนวนยางที่มีคุณภาพสูง ซึ่งผ่านมาตรฐานการรับรองความปลอดภัย และจากการขยายตลาดไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และ ระบบ Air Ducting system และในญี่ปุ่นสินค้าเกรดพรีเมี่ยม ยังเป็นที่ต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม AEROFLEX ยังคงให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาฉนวนยางรุ่นใหม่ซึ่งนอกจากฉนวน AEROFLEX มีคุณสมบัติตามมาตรฐานแล้ว สิ่งสำคัญช่วยประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงทำให้ Green Building เลือกใช้ฉนวน AEROFLEX เป็นอันดับต้น

ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS ยอดขายมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ค. 65 ประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) เร่งตัวขึ้น บริษัทสามารถส่งสินค้าให้กับค่ายยานยนต์ที่เริ่มมีการผลิตต่อเนื่อง และจากยานยนต์รุ่นใหม่ที่จะทยอยออกสู่ตลาด รวมทั้งกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์หลายค่ายปรับตัวเพื่อแก้ไขปัญหาชิปขาดแคลน (Semiconductor Shortage) คาดว่าการเติบโตเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ

สำหรับธุรกิจในออสเตรเลีย บริษัทจะรับรู้รายได้จากการซื้อกิจการ 4 Way Suspension Products Pty. Ltd ออสเตรเลีย ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปีบัญชี 65/66 (ก.ค.65 – ก.ย.65) อีกทั้ง บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจ โดยเร่งให้เกิด synergy ในกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายใต้แบรนด์ EPP มีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศ และรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการ และ ประชาชน เช่น “คนละครึ่งเฟส 5” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” อย่างไรก็ตาม EPP ได้เพิ่มช่องทางการจัดจัดหน่ายแบบออนไลน์ มีการกระตุ้นยอดขายด้วยการจัดโปรโมชั่นแนะนำสินค้า สร้างการรับรู้แบรนด์สินค้า และ สร้างชุมชนร้านค้าลูกค้า อีกทั้ง ยังคงให้ความสำคัญกับการนำกลยุทธ์ “Capacities Driven” มาบริหารจัดการกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปีบัญชี 65/66 (เม.ย.65 – มิ.ย.65) บริษัทมีรายได้จากการขาย 2,843.4 ล้านบาท โดยปรับตัวลดลง จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,934.1 ล้านบาท หรือลดลง 3.1% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 32.9% อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 29 – 32% แต่เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 18.9% ส่วนใหญ่มาจากค่าขนส่งสินค้า และ การปรับขึ้นค่าจ้างพนักงานตามตลาดแรงงานในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย การจ้างพนักงานเพิ่มเติมเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ อีกทั้ง ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าลดลงจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 230.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 449.5 ล้านบาท หรือ ลดลง 48.7%

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ครั้งที่ 9/65 ของ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 27 ก.ค.65 มีมติให้บริษัทเสนอขายหุ้นกู้ตามวงเงินคงเหลือที่เคยอนุมัติไว้ โดยบริษัทได้ออกหุ้นกู้มูลค่า 800 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ม.ค.63 จะครบกำหนด 31 ม.ค.66 จึงมีวงเงินเหลืออยู่ 1,200 ล้านบาท การออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อจะนำไปใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนด และใช้สำหรับการลงทุน

เมื่อ 17 ส.ค.65 บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ที่ ‘A-(tha)’

 

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp