PRIME เผยเป้าหมาย 5 ปี พร้อมเดินหน้าเปิดโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานสะอาดอื่นๆ ทั่วเอเชีย ไม่น้อยกว่า 1,800 MW หรือเพิ่มขึ้นราว 500% จากกำลังการผลิตปัจจุบัน รับเทรนด์โลกตามเป้า net-zero emissions

242

มิติหุ้น  –  บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME บริษัทชั้นนำในการทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนซึ่งเป็นพลังงานสะอาด โดยปัจจุบันธุรกิจหลัก และรายได้เกือบทั้งหมดมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power Plant)  ซึ่งบริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าทั้งหมดที่ทำสัญญาผลิตและขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) ให้กับรัฐวิสาหกิจของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวันและกัมพูชา ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 300.7 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 86 แห่ง รวมโครงการระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าโครงการเหล่านี้จะแล้วเสร็จพร้อมดำเนินการและรับรู้รายได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2566 ส่วนรายได้อื่นๆ  บริษัทมีธุรกิจขายไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Private PPA) ธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (EPC) และธุรกิจจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับพลังงาน (Trading) ที่ยังคงมีการเติบโตและการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนว่า “PRIME เป็นบริษัทฯ ชั้นนำในธุรกิจพลังงานสะอาด ซึ่งมุ่งมั่น ในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาทำธุรกิจให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนแก่สังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจอาจมีความล่าช้าในการรับรู้รายได้ อันเป็นผลมาจากการระบาดของสถานการณ์โควิด-19 และปัญหาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ณ วันนี้ สถานการณ์ต่างๆ ปรับตัวดีขึ้นแล้ว บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถกลับมาดำเนินการตามเป้าหมายระยะกลางที่เคยวางแผนไว้ นั่นคือ ภายในปี 2567 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทจะมีการลงทุนและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์  พลังงานสะอาดอื่นๆ ทั่วเอเชีย ไม่น้อยกว่า 800 MW หรือมีกำลังการผลิตเติบโตขึ้นกว่า 2.6 เท่าจากปัจจุบัน และเป้าหมายระยะยาว 5 ปีข้างหน้าเติบโตราว 500% จากกำลังการผลิตปัจจุบัน โดยแต่ละปีคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นราว 200 – 400 MW

นายสมประสงค์ กล่าวต่อไปว่า “สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวัน  PRIME เริ่มจากโปรเจคที่มีขนาดเล็กก่อน และเมื่อมีความมั่นใจมากขึ้นจึงขยับเป็นโปรเจคที่มีขนาดใหญ่ กำลังการผลิตรวม 55.3 เมกะวัตต์  โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก COD เรียบร้อยแล้ว จำนวน 20.5 เมกะวัตต์ และส่วนที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างจำนวน 34.8 เมกะวัตต์ และในประเทศกัมพูชา เราได้เข้าไปทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งชาติ (National Solar Park) ที่มีธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) เป็นที่ปรึกษาโครงการ มีกำลังผลิต 77 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังผลิตตามสัญญา 60 เมกะวัตต์ ณ ปัจจุบัน (ณ สิ้นเดือน สิงหาคม) การก่อสร้างมีความคืบหน้าตามแผนงาน 75% โดยอุปกรณ์หลักทั้งหมด เช่น Tracking system, Inverter, Box Transformer และ PV modules ทยอยขนส่งถึงโครงการแล้วในตอนนี้เพื่อทยอยติดตั้งควบคู่ไปกับงานก่อสร้างและส่วนอื่นๆ ซึ่งภาพรวมการก่อสร้างเป็นไปตามแผนงานเพื่อเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในไตรมาสที่ 4/2565

นายสุรเชษฐ์ ชัยปัทมานนท์ รองกรรมการผู้จัดการสายการเงินและการบัญชี รายงานผลประกอบการของบริษัทฯ สำหรับงวด 6 เดือน (สิ้นสุด มิ.ย. 65) มีรายได้รวมอยู่ที่ 395.4 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 97.1 ล้านบาท ซึ่งจากการที่ธุรกิจของบริษัทมีลักษณะเป็นการรับรายได้ที่มั่นคงจากสัญญาระยะยาว ทำให้รายได้จากการขายกระแสไฟฟ้าของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี รายได้ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีจำหน่ายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้ไม่มีรายได้จากโครงการดังกล่าวในปีนี้ การจำหน่ายโครงการดังกล่าวทำให้บริษัทได้รับเงินลงทุนเพิ่มในโครงการอื่นๆซึ่งคณะกรรมการเล็งเห็นแล้วว่าจะทำให้ภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาวมีความมั่นคงและมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp