บอร์ด TSTE ไฟเขียวทุ่มงบ 180 ล้านบาท ขยายธุรกิจอาหารและธุรกิจโซล่าร์รองรับตลาดเติบโตเท่าตัว

80

มิติหุ้น  –  นายชนะชัย  ชุติมาวรพันธ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยชูการ์ เทอร์มิเนิ้ล จำกัด (มหาชน) หรือ TSTE เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ และบริษัทย่อย  ใช้งบลงทุนมูลค่า 180 ล้านบาท เพื่อลงทุนอาคารโรงงานและเครื่องจักร ขยายธุรกิจด้านขนมขบเคี้ยว (Snack) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงงาน คลังสินค้า

โดยการลงทุนดังกล่าว บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ เพื่อขยายธุรกิจที่มีอยู่ ให้รองรับและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น    ซึ่งการลงทุนนั้นแบ่งเป็นส่วนแรกจำนวน 70 ล้านบาท จะใช้สำหรับเป็นการขยายธุรกิจด้านขนมขบเคี้ยว หลังจากเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา  บริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด จำกัด (Nature Best Food – NBF)   บริษัทชั้นนำ ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสาหร่าย  สาหร่ายปรุงรส ขนมขบเคี้ยวและอาหารสำเร็จรูป  NBF ถือได้ว่าเป็นผู้ครองตลาด อันดับต้นๆ ของประเทศ ในกลุ่มลูกค้าอุตสาหรรมกรรมและร้านอาหาร (Business to Business )

ขณะเดียวกันจากการดำเนินที่ผ่านมาในรอบ 3 เดือน   โรงงานที่มีอยู่ เดินใกล้เต็มความสามารถในการผลิตให้กับลูกค้า    บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาส ความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในตลาดขนมขบเคี้ยว (Snack) และความต้องการสินค้าที่มีความหลากหลาย ทั้งในส่วนของตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ    คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติอนุมัติให้ลงทุนขยายโรงงานเพิ่มอีก 2 แห่ง   โดยเป็นการปรับปรุงโรงงานเก่าและคลังสินค้าที่มีอยู่เดิมมาเป็นโรงงานแห่งที่ 2 และโรงงานแห่งที่ 3  ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรสายการผลิตใหม่   โดยคาดว่าโรงงานใหม่ทั้ง 2 แห่ง  จะสามารถเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 1/2566 และไตรมาส 3/2566 ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ยอดขายในส่วนของสินค้าขนมขบเคี้ยว เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากเดิมที่มีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 300 ล้านบาทต่อปี เป็น 600 ล้านบาทต่อปี

            นายชนะชัย  กล่าวต่อไปว่าสำหรับการลงทุนส่วนที่ 2 จะเป็นการลงทุนขยายธุรกิจบรรจุและบรรจุภัณฑ์  ซึ่งเป็นเงินลงทุน 50 ล้านบาท  โดยปัจจุบันบริษัทย่อยของบริษัทฯ มีสายการผลิตขวด ฝาและสายการบรรจุน้ำมันพืช  ซึ่งมีรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการบรรจุน้ำมันพืชจากโรงกลั่นน้ำมันพืชของบริษัทฯ และรายได้อีกส่วนมาจากการรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับ     แบรนด์สินค้าต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ  ด้วยจุดเด่นของโรงงาน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท่าเรือส่งออกและใกล้กับกรุงเทพ ทำให้สะดวกและง่ายต่อการกระจายสินค้า ประกอบกับความต้องการบรรจุสินค้าในลักษณะ House Brand เพิ่มมากขึ้น   เพื่อเป็นการรองรับปริมาณความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นและความต้องการรูปแบบสินค้าบรรจุภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย

“คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติลงทุนขยายโรงงานเท่าตัว โดยปรับปรุงคลังสินค้าของบริษัทที่มีอยู่เดิม ติดตั้งสายการผลิตใหม่เพื่อให้มีบรรจุภัณฑ์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น  โรงงานส่วนที่ขยายจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาส 2 ปี 2566   สามารถรองรับบรรจุผลิตภัณฑ์อาหารในสินค้าอื่น ที่ไม่จำกัดเฉพาะน้ำมันพืชและสามารถบรรจุในรูปแบบบรรจุภัณฑ์อื่น” นายชนะชัย  กล่าว

สำหรับการลงทุนในส่วนที่ 3 จะเป็นการลงทุนของบริษัทย่อย ในการติดตั้งแผงโซล่าร์บนหลังคาโรงงาน คลังสินค้า ในบริเวณท่าเรือและคลังสินค้า ของบริษัท ใช้งบลงทุนรวม 60 ล้านบาท  โดยบริษัทฯ มีพื้นที่ทั้งหมด 150 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ ใกล้กรุงเทพ พื้นที่จะประกอบด้วย ท่าเรือ โรงงานและคลังสินค้า  เบื้องต้นบริษัทย่อยจะลงทุนแผงโซล่าร์ขนาดไม่เกิน 1 MW จำนวน 2 แผง  (รวมไม่เกิน 2 MW)  พร้อมปรับปรุงระบบสายส่งไฟ   ไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซล่าร์จะนำมาใช้เองในกระบวนการผลิตของบริษัท เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางด้านพลังงาน คาดว่าระบบแผงโซลาร์ จะสามารถติดตั้งแล้วเสร็จกลางปี 2566

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp