CGSI : Trend Spotter

39

มิติหุ้น – Trend Spotter
• สรุปภาพรวมตลาด :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนก่อนปิดผสมผสาน มีเพียงดัชนี S&P500 ที่รีบาวด์ +0.1% ขณะที่ดัชนี DJIA (-1.3%) และ Nasdaq (-0.1%) ยังคงร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เผชิญแรงขายนำโดยหุ้น UnitedHealth (-22.4%) หลังบริษัทรายงานผลประกอบการ 1Q25 ต่ำกว่าคาด และ Nvidia (-2.9%) ที่ยังคงปรับตัวลดลงจากผลกระทบการควบคุมการส่งออกของสหรัฐ ทำให้บริษัทอาจต้องรับค่าใช้จ่ายถึง 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐยังมีแรงสนับสนุนจากแรงซื้อหุ้นอื่น (Eli Lilly +14.4%, Netflix +1.2%) รวมถึง Sentiment บวกหลังทรัมป์ส่งสัญญาณว่าการเจรจากับจีนและ EU อาจจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI +3.5% เช่นกัน

ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการวันนี้ เนื่องในวัน Good Friday วันสำคัญทางศาสนาคริสต์ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นลอนดอนที่จะปิดทำการ 18-21 เม.ย. สำหรับช่วงเทศกาลอีสเตอร์

สำหรับตลาดหุ้นภูมิภาค ดัชนี STOXX600 (-0.1%) หลัง ECB มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 25bp มาที่ระดับ 2.40% ตามตลาดคาด จากผลกระทบนโยบายภาษีศุลกากรระหว่างประเทศของสหรัฐ

• SET Index :
เราคาดว่า SET Index จะยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,130-1,150 จุด โดยเรามีมุมมองเชิงบวกหลังเห็นเงินบาทที่แข็งค่าจากฟันด์โฟลด์ที่ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังสงครามการค้า รวมถึง งบ 1Q25 ของกลุ่มธนาคารที่ออกมาแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดีความเห็นของประธาน Fed ที่สร้างความกังวลว่าอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ขณะที่เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า เป็น Upside ที่จำกัด และตลาดยังคงรอติดตามรายละเอียดภาษีสินค้านำเข้าหลังรัฐบาลไทยเตรียมเดินทางไปเจรจากับสหรัฐ 23 เม.ย. นี้

แม้เราจะมีมุมมองเชิงบวกต่อการที่ไทยเตรียมเสนอซื้อ LNG-อีเทน และสินค้าเกษตรเพิ่มจากสหรัฐ แต่เรามองว่ามูลค่ายังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับที่ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ เราจึงเชื่อว่ารัฐบาลอาจต้องเสนอนำเข้าสินค้าอื่นเพิ่ม เช่น เนื้อวัว, ข้าวโพดและถั่วเหลือง อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะเปิดให้มีการนำเข้าเนื้อหมูและสัตว์ปีก เพื่อปกป้องผลประโยชน์เกษตรกรในประเทศ นอกจากนี้ เรามองว่าการเจรจาในรอบแรกน่าจะยังไม่มีความคืบหน้ามากนักเช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่ได้มีการเข้าหารือกับสหรัฐเป็นกลุ่มแรกเมื่อวานนี้ (17 เม.ย.)

การเรียกเก็บภาษีของทรัมป์ได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงไทย ส่งผลให้ธปท. เปิดเผยว่า GDP ไทยปี 2025 ต่ำกว่าระดับเป้าหมายที่ 2.5% (เราคาด 1.5% yoy) โดยจะมีการพิจารณาตัวเลข GDP ใหม่ในการประชุมกนง. 30 เม.ย. นี้ ที่เราเชื่อว่าจะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 25bp เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนตัวตั้งแต่ปี 2024 กอปรกับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

วันนี้ ติดตามรายงานผลประกอบการ 1Q25 ของ TTB ช่วงเที่ยง และ KTB ช่วงหลังตลาดปิดทำการ ที่เราคาดว่า TTB จะรายงานกำไรสุทธิ -22.6% yoy, -19.2% qoq ขณะที่ KTB ซึ่งเป็น Top pick ในกลุ่มนี้ของเราจะรายงานกำไรสุทธิ -1.3% yoy, +4.4% qoq หลังเมื่อวานนี้ TISCO รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1.64 พันล้านบาท (-5.2% yoy, -3.4% qoq) สูงกว่าที่เราและตลาดคาดจาก credit cost ที่ต่ำกว่าประมาณการ ขณะที่กำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) ทรงตัวจากการเติบโตของสินเชื่อที่ยังอ่อนตัว ส่งผลให้ NIM ลดลง นอกจากนี้ NPL ยังเพิ่มขึ้นจากลูกหนี้บางรายในโครงการคุณสู้เราช่วยที่ลงทะเบียนผิดเงื่อนไขแล้วหยุดชำระ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารมองว่าเป็นกรณีเฉพาะ และ ยังยืนยันการจ่ายเงินปันผล 80%

• หุ้นแนะนำ
BBL : เก็งกำไรผลประกอบการ 1Q25 หลัง BBL รายงานงบดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และ ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าจากเงินบาทที่แข็งค่า

(Take profit : 148.5 / Stop loss : 145.5)

GPSC : เรามองว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้ เราคาดว่าต้นทุน pool gas จะลดลงใน 2Q-3Q25 ซึ่งน่าจะทำให้ธุรกิจ SPP ของ GPSC มีกำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้ง บริษัท AEPL น่าจะทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในปี 2027 เมื่อกำลังการผลิตไฟฟ้า (committed capacity) เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงิน

(Take profit : 30.75 / Stop loss : 27.00)

#MacroWealthResearch
#CGSInternational
#CGSI

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon