CGSI : Trend Spotter

28

มิติหุ้น – Trend Spotter
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบหนักโดย DJIA (-2.48%), S&P500 (-2.36%) และ Nasdaq (-2.55%) หลังจาก Donald Trump เดินหน้าโจมตี Jerome Powell โดยกล่าวเมื่อวานนี้ว่า “เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง นอกจากว่า Jerome Powell จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทันที” สร้างความกังวลต่อตลาดเกี่ยวกับการแทรกแซงความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) และยังถูกกดดันจากสงครามการค้าที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น

สำหรับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ล่าสุด ประเทศจีนประกาศเตือนประเทศต่างๆ ที่กำลังเตรียมตัวเจรจาพูดคุยกับสหรัฐว่า อย่ายอมทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐในลักษณะที่จะสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ประเทศจีน และ พร้อมดำเนินการตอบโต้ขั้นเด็ดขาด

สำหรับสัญญาทองคำ COMEX ปิดบวกที่ US$3,425.3/oz (+2.91%) ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าสกุลเงินดอลลาร์ และ fund flow ยังไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย

ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงปิดที่ US$66.26/bbl (-2.47%) หลังมีรายงานว่าคณะเจรจาของสหรัฐฯ และอิหร่านตกลงกันที่จะร่างกรอบข้อตกลงนิวเคลียร์ และมีสัญญาณความคืบหน้า อาจนำไปสู่การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากฝั่งอุปสงค์ที่มาจากสงครามการค้า

• SET Index : เราคาดว่า SET Index จะถูกกดดันจากประเด็นการเมืองสหรัฐ-จีน, กระแสข่าวทรัมป์ปลดผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ มองกรอบบริเวณ 1,105-1,150
นอกเหนือจากปัจจัยต่างประเทศ เราเชื่อว่าตลาดจะยังถูกกดดันไปในระยะสั้น-กลาง แม้ว่าจะ Underperform ภูมิภาค YTD และยังไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ เนื่องจาก

1) รายงานล่าสุดจากทำเนียมรัฐบาลไทย ยืนยันว่า “ทีมไทยแลนด์” ที่จะเข้ารวมเจรจาการค้าเกี่ยวกับภาษีตอบโต้วันที่ 23 เม.ย. นี้ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อรอการตอบรับจากฝั่งสหรัฐฯ และกำหนดการจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR)

2) ความรุนแรงระหว่างประเทศสหรัฐ-จีน ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นหลังการประกาศเตือนประเทศต่างๆ ที่กำลังเตรียมตัวเจรจาพูดคุยกับสหรัฐฯ

3) ความขัดแย้งระหว่างสองพรรคร่วมรัฐบาลหลัก ได้แก่ พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย มีแนวโน้มจะยืดเยื้อออกไป หลังจากเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยแถลงวันที่ 9 เม.ย. 2025 ว่าไม่สนับสนุนร่างกฎหมายศูนย์รวมความบันเทิง (Entertainment Complex) ที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย เนื่องจากรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับปัญหาเร่งด่วนอื่นๆ เช่นการถล่มตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เรามองว่ารัฐบาลอาจยังไม่สามารถผลักดันโครงการสำคัญๆ ได้ในระยะนี้

สำหรับผลประกอบการกลุ่มธนาคารที่เราทำการศึกษาล่าสุด (SCB, KBANK, KTB, BBL, TTB, TISCO, KKP, CREDIT) รายงานกำไรสุทธิรวม 5.93 หมื่นล้านบาท (+5.7% yoy, +11.3% qoq) ใน 1Q25 ส่วนใหญ่รายงานกำไรสุทธิมากกว่าเราและตลาดคาด ยกเว้น KKP, CREDIT, TTB โดยมีการตั้งสำรองรวมเพิ่มขึ้น +2.1% yoy, +8.3% qoq ใน 1Q25 ทั้งนี้สินเชื่อรวมชะลอตัวอยู่ที่ -1.2% yoy, -0.6% qoq ใน 1Q25 ซึ่งมาจากการชำระคืนหนี้ และมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น นอกจากนี้ NIM หดตัว -22 bp yoy และ -19 bp qoq ซึ่งมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน 4Q24 และ 1Q25 ทั้งนี้ เราเชื่อว่าผลประกอบการรายไตรมาสถัดไป จะอ่อนแอลง เนื่องจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง มาตรฐานสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น และการต้นทุนเครดิตมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นใน 2Q-4Q25 จากการตั้งสำรองจากสงครามการค้าโลก

• หุ้นแนะนำ
BDMS:
เราเชื่อว่าจะมีผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีกว่า BH ในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในขณะที่ BH มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากฐานที่สูงใน 1H24 และลูกค้าชาวคูเวตที่หายไป (Take profit: 25.0 / Stop loss: 22.8)

CPALL:
เราเชื่อว่า CPALL จะมีกำไรปกติแข็งแกร่ง 6.9 พันล้านบาท (+14.5% yoy) ใน 1Q25 มาจากมาร์จิ้นที่ขยายตัว ซึ่งมาจากยอดขายสินค้าประเภทอาหารพร้อมทานที่เพิ่มขึ้น เราคาดว่า SSSG จะเพิ่มขึ้น +3% yoy สำหรับ 7-Eleven จากยอดซื้อและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นใน 1Q25 (Take profit: 51.50 / Stop loss: 49.00)

#Macro&WealthResearch
#CGSInternational
#CGSI

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon