มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 389 จุด (-0.95%) นักลงทุนกังวลกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการค้าหลังจากทรัมป์และรัฐมนตรีคลังส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกัน ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 3.2% ได้แรงหนุนจากหลายปัจจัยรวมไปถึงสัญญาณชี้ถึงอุปสงค์จากจีนจะฟื้นตัว
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานดุลการค้าพบว่ายังคงขาดดุล 140 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯและมากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดว่าจะขาดดุล 136 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯนับเป็นการขาดดุลที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาคธุรกิจเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่ Trump จะประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ครั้งใหญ่ในวันที่ 2 เม.ย. ส่วนเช้านี้มีรายงานจาก Reuters ว่ารัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯจะพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากจีนในวันเสาร์ ซึ่งอาจเป็นก้าวแรกสู่การแก้ไขสงครามการค้าที่กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับโลก ทำให้ Dow Jones Future กลับมาแกว่งบวก 0.65% ณ ช่วงเวลา 7.00 ตามเวลาประเทศไทย พร้อมกับราคาทองคำเริ่มเผชิญแรงทำกำไรในเช้านี้ สะท้อนมุมมองเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นของนักลงทุน (เช้านี้ Nikkei แกว่งบวก 1%) มองเป็นปัจจัยหนุนหุ้นไทยระยะสั้น ส่วนในประเทศวานนี้กระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือนเมษายนพบว่ากลับมาติดลบ (-0.22%YoY) ปัจจัยหลักได้แก่การลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานได้แก่ แก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน ค่ากระแสไฟฟ้า
ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพประกอบกับมีการลดลงของราคาผักสด ไข่ไก่ เนื่องจากอากาศที่ร้อนน้อยกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตามมีราคาบางชนิดปรับตัวสูงขึ้น อาทิ เนื้อสุกร อาหารสำเร็จรูป ประเมินเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (BJC CPALL) ตามต้นทุนการใช้ชีวิตที่ลดลงของประชาชน คืนนี้รอติดตามผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่จะทราบผลทางการในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย (เริ่มประชุมตี 1 ของวันพฤหัสบดี) สำหรับผลประชุมครั้งนี้ CME FED Watch ประเมินว่าจะคงดอกเบี้ยด้วยความน่าจะเป็น 97% ซึ่งเราก็เชื่อว่าจะคงดอกเบี้ยเช่นกันด้วยเงินเฟ้อสหรัฐฯที่อาจกลับมาปรับขึ้นช่วงถัดไปจากภาษีนำเข้าประกอบกับตัวเลขแรงงานล่าสุดยังมิได้อ่อนแอมากนัก แต่อย่างไรก็ตามแนะติดตามถ้อยแถลงและมุมมองด้านเศรษฐกิจกับเงินเฟ้อ หากมีสัญญาณผ่อนคลายตลาดหุ้นอาจตอบรับเชิงบวก วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1175 – 1195 ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะลดพอร์ตการลงทุนเช่นเดิม แม้จะมีข่าวเจรจาการค้าก็ตามแต่ก็เชื่อว่ายังยืดเยื้อและใช้เวลาทำให้ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยง โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วง 1 ม.ค. – 4 พ.ค. อยู่ที่ 12.45 ล้านราย (+0.4%YoY) ค่อนข้างขยายตัวต่ำและเป็นไปได้ที่จะไปไม่ถึงระดับ 38 ล้านราย (เป้าหมายที่ตั้งไว้) อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะสั้นที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรในกลุ่มน้ำมัน (PTTEP) กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC IVL) ปัจจัยหนุนระยะสั้นจากการคลายความกังวลการค้าสหรัฐฯและนานาประเทศ
MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
คาดกำไรปกติใน 1Q25 เติบโตอยู่ที่ 58 ล้านบาท (-98% QoQ) พลิกจากขาดทุนใน 1Q24 ที่ 325 ล้านบาท แต่อ่อนตัวลง QoQ ด้วยปัจจัยนอกฤดูกาล ทั้งนี้ได้รับแรงหนุนจาก 1) ธุรกิจโรงแรมมีรายได้ต่อห้องรวม (RevPar) ในสกลุเงินบาทที่เติบโตในอัตราตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ ขณะที่ RevPar ในสกุลเงินท้องถิ่นเพิ่มสูงขึ้น ยุโรป (+8% YoY) ไทย (+15% YoY) และมัลดีฟส์ (+20% YoY) และ 2) ภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงต่อเนื่อง ด้วยการชำระหนี้สินผ่านกระแสเงินสด
CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q25 ที่ 4,227 ล้านบาท (+2%YoY, +9%QoQ) ใกล้เคียงที่เราคาด โดยเทียบกับปีก่อนเติบโตจากรายได้ศูนย์การค้าและโรงแรม ที่มีการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ทีเปิดระหว่างปี ส่วนเพิ่มจาก 4Q24 เพราะไตรมาสก่อนมีรายกการพาหากไม่รวมกำไรปกติจะลดลง 4%QoQ จากรายได้อสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีคาดรายได้ยังเติบโตได้จากการเปิดศูนย์ใหม่ในช่วง 2H25 และมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐที่จะเริ่มในช่วง 2Q25 นี้
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon