CGSI : ทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนพ.ค.นี้ การเจรจาการค้าที่ยืดเยื้อ น่าจะทำดัชนี SET ชะงัก

34

มิติหุ้น – ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ไม่ได้คาดหวังกับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในเดือนพ.ค.68 นี้ เพราะทั้งสองฝ่ายยังได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่มากนัก อย่างไรก็ตามหุ้นไทยจะได้รับแรงหนุนหากสองฝ่ายเริ่มมีท่าทีประนีประนอม ขณะที่เชื่อว่าไทยและสหรัฐน่าจะยังไม่ทำข้อตกลงทางการค้าเช่นกัน

นอกจากนี้ ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ฯไม่คาดหวังว่าตลาดหุ้นไทยจะทำผลงานได้ดีกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคในช่วงเดือนพ.ค.นี้ อีกทั้งรัฐบาลน่าจะยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรีในเร็วๆนี้ เพราะต้องรอเจรจาการค้ากับสหรัฐ จึงคาดว่าหุ้นไทยอาจค่อนข้างเงียบในเดือนพ.ค.

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า Bloomberg consensus คาดการณ์ว่าในไตรมาส 1/68 บริษัทจดทะเบียนของไทยจะมีกำไรเติบโต 6% yoy และ 36% qoq ซึ่งถือว่าไม่แย่เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโต 23% yoy และ 12% qoq ในไตรมาส 4/68 ทั้งนี้หากอิงจากประมาณการของ Bloomberg กลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะมีกำไรเติบโตสูงที่สุด yoy ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มวัสดุก่อสร้างน่าจะมีกำไรเติบโตต่ำสุด yoy

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเตรียมเปิดตัวกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษหรือ TESGX ซึ่งสามารถรับโอนเงินลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มี AUM รวม 1.53 แสนล้านบาท ณ วันที่ 28 เม.ย.68 โดยผู้ถือหน่วยลงทุนที่ต้องการย้ายการลงทุนใน LTF มาอยู่ใน TESGX จะต้องโอนหน่วยลงทุนภายในเดือนพ.ค.-มิ.ย.68 เพื่อให้ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท

ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯประมาณการว่า จะมีเงินลงทุนในกองทุน LTF ครึ่งหนึ่งย้ายเข้ามาลงทุนใน TESGX และถูกล็อคไปอีกห้าปี ส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนอีกครึ่งหนึ่ง อาจรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อขายคืนหน่วยลงทุน ทั้งนี้ ข้อมูลในวันที่ 28 เม.ย.68 แสดงให้เห็นว่ามีการขายคืน LTF แล้วรวม 3.8 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้คาดว่าอาจมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่กองทุน TESGX อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะช่วยลดผลกระทบต่อ SET ช่วงสองสามเดือนข้างหน้า

แม้ว่าเงินทุนที่ไหลเข้า TESGX จะเป็นผลดีกับตลาดหุ้นไทย แต่มองว่า ดัชนี SET อาจปรับขึ้นไม่มากนัก จากความไม่แน่นอนการเมืองและมาตรการภาษีของสหรัฐ ดังนั้นจึงคงเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้ที่ 1,200 จุด ( P/E 13.4 เท่าในปี 69, -1SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี) โดยมองว่าหุ้น Domestic defensive และ High yield play เป็นตัวเลือกที่ดี ขณะที่ SET อาจมี downside risk หากมาตรการภาษีสหรัฐส่งผลกระทบต่อไทยมากกว่าคาด รวมถึงความไม่แน่นอนการเมือง ส่วนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อาจช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon