มิติหุ้น – กรุงเทพฯ – 14 พฤษภาคม 2568 – บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทย เผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2568 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 30,499.0 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,897.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% และ 1,629.3% ตามลำดับ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 3 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย การขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ การปรับพอร์ตสินค้าและช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อเพิ่มความสามารถทำกำไร และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เสริมด้วยแรงหนุนราคาหมูและไก่ในประเทศปรับตัวสูงขึ้น และการรับรู้รายได้เข้าซื้อกิจการไข่ไก่ในสิงคโปร์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเป็นครั้งแรก
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจเบทาโกรในไตรมาสแรกปี 2568 เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและโปรตีนที่มีทิศทางสดใส อันเป็นผลจากการขับเคลื่อนกลยุทธ์หลักขององค์กร ด้วยการเจาะตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ การปรับพอร์ตสินค้าไปสู่ผลิตภัณฑ์และช่องทางจำหน่ายที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและอาหารพร้อมทาน และการจำหน่ายในช่องทาง Food Service และส่งออก ตลอดจนการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และปัจจัยการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหมูและไก่ในประเทศ และความต้องการบริโภคหมูและไก่ที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและส่งออก ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 30,499.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% จาก 27,215.4 ล้านบาท ช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ระดับ 5,362.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.5% จาก 2,921.8 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.7% เพิ่มขึ้นจาก 10.8% ช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ EBITDA ของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 3,766.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 153.4% จาก 1,486.6 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ระดับ 1,897.8 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิที่ระดับ 124.1 ล้านบาทจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับในปี 2568 เบทาโกรยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อน 3 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย 1) การขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ (International expansion) ผ่านการควบรวมกิจการ และการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง 2) การปรับพอร์ตสินค้าเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร (Product and Channel Mix Optimization) มุ่งเน้นบริหารจัดการผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้น 3) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Cost Transformation) ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการออกแบบกระบวนการใหม่ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพและผลิตภาพ
นอกจากนี้ ในไตรมาส 1/2568 เบทาโกรยังเริ่มรับรู้รายได้เป็นครั้งแรกจากบริษัท เบทาโกร ฟู้ดส์ (สิงคโปร์) จำกัด ในการเข้าซื้อกิจการ Eggriculture ซึ่งเป็นผู้ผลิตไข่ไก่รายใหญ่ในสิงคโปร์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ที่ระดับ 27.3 ล้านเหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ (หรือราว 688.8 ล้านบาท) ซึ่งยืนยันถึงความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์หลักที่ตั้งเป้าขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ และยังคงมองหาโอกาสขยายธุรกิจไปยังตลาดอื่น ๆ ในเอเชียที่มีศักยภาพเพิ่มเติม เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารในระดับภูมิภาค
“แม้จะมีปัจจัยท้าทายธุรกิจโดยเฉพาะสงครามการค้าสหรัฐ-จีน เรายังเห็นโอกาสเติบโตจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของราคาหมูและไก่ในประเทศ ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ เช่น กากถั่วเหลือง และมันเส้น มีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกแก่ธุรกิจในระยะข้างหน้า ประกอบกับอุปสงค์ในตลาดส่งออกหลักในยุโรป และเอเชียที่ยังคงแข็งแกร่ง และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถเติบโตรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ที่ 3-7%” นายวสิษฐ กล่าว
ทั้งนี้ เบทาโกรยังให้ความสำคัญและยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการยกระดับสถานะแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) เป็นระดับ 3 ดาว ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุด สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเบทาโกรในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon