SCB EIC สหภาพยุโรป (EU) จัดไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำด้านการตัดไม้ทำลายป่า หนุนโอกาสส่งออก ‘ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน’ สู่ตลาดยุโรป

26

มิติหุ้น – 22 พ.ค. 2025 สหภาพยุโรป (EU) จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่ม “เสี่ยงต่ำ” จากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ตามกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation – EUDR)  ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปลายปีนี้กับธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ใน EU โดย EUDR เป็นกฎหมายที่ EU ใช้ควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีความเสี่ยงจะทำลายป่า โดยเฉพาะ 7 สินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, ไม้, โกโก้, กาแฟ, ถั่วเหลือง และวัว รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเกษตรดังกล่าว เช่น ยางล้อรถยนต์ โดยสินค้าที่จะเข้าสู่ตลาด EU จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่สำคัญ 3 ข้อ คือ 1) สินค้าต้องมาจากพื้นที่ที่ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าหรือสร้างความเสื่อมโทรมของป่าหลังปี 2020 2) สินค้าต้องมีกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต และ 3) ต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับ (Due diligence) ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงในการตัดไม้ทำลายป่าของประเทศผู้ผลิต (รูปที่ 1) ซึ่งหากทำไม่ได้ตามเกณฑ์ ผู้นำเข้าใน EU อาจถูกปรับสูงสุดถึง 4% ของมูลค่ายอดขาย (Turnover) ของบริษัทใน EU ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ละเมิดกฎ ยังจะถูกกีดกันไม่ให้รับงานประมูลและเงินสนับสนุนจากภาครัฐด้วย ทั้งนี้ในวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา EU ได้ประกาศจัดระดับความเสี่ยงในการตัดไม้ทำลายป่าของประเทศคู่ค้าทั่วโลก ซึ่งข่าวดี คือ ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ โดย EU ประเมินระดับความเสี่ยงในการตัดไม้ทำลายป่าของประเทศต่าง ๆ จากข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ซึ่งข้อมูลที่พิจารณาประกอบด้วย อัตราการตัดไม้ทำลายป่าและการเสื่อมโทรมของป่า อัตราการขยายพื้นที่เกษตรกรรมเฉพาะสินค้าเกษตรที่อยู่ภายใต้ EUDR (ไม่รวมการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชนอก EUDR เช่น ข้าวโพด) และแนวโน้มการผลิตสินค้าเกษตรที่อยู่ภายใต้ EUDR และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดย EU จะมีการทบทวนความระดับความเสี่ยงของประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีกำหนดทบทวนครั้งแรกในปี 2026

รูปที่ 1 : EUDR จะเริ่มบังคับใช้ปลายปี 2025 โดยมาตรการนี้กำหนดให้การนำเข้าสินค้าเกษตร 7 กลุ่ม ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ผลิตอย่างถูกกฎหมาย และผ่าน Due diligence 

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ EU

ผู้นำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยไปยัง EU จะได้รับ “สิทธิพิเศษ” ในการไม่ต้องทำขั้นตอนประเมินและลดความเสี่ยง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง โดยกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับตาม EUDR จะต้องมีการดำเนินการใน 3 ส่วน คือ 1) การเก็บรวบรวมข้อมูลของสินค้า เช่น รายละเอียดสินค้า พิกัดแหล่งผลิต หลักฐานความถูกต้องตามกฎหมาย 2) การประเมินความเสี่ยง เช่น การตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมา
การประเมินความเสี่ยงโดยละเอียดตามเกณฑ์ของ EUDR และ 3) การดำเนินการลดความเสี่ยง เช่น การตรวจสอบหรือสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพิ่มเติมโดยบุคคลที่สาม การสนับสนุนซัพพลายเออร์เพื่อให้ปฏิบัติตาม EUDR
โดย EUDR กำหนดไว้ว่า ผู้ประกอบการและผู้ค้า EU ที่นำเข้าสินค้าจากประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “เสี่ยงต่ำ” ไม่จำเป็นต้องดำเนินการในส่วนของข้อ 2 และ 3 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการนำเข้าลงได้ (รูปที่ 2)

รูปที่ 2 : ผู้นำเข้าสินค้าเกษตรจากกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำไปยัง EU จะได้รับ “สิทธิพิเศษ” ในการไม่ต้องทำขั้นตอนประเมินและลดความเสี่ยง ในกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (Due diligence)

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ EU

สถานะประเทศ “เสี่ยงต่ำ” ทำให้ไทยได้เปรียบด้านต้นทุนและโอกาสทางการค้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด EU ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงปกติ ในปี 2024 ไทยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้า EUDR อันดับที่ 15 ของ EU
(ไม่นับรวมการนำเข้าจากประเทศใน EU กันเอง) โดยมูลค่านำเข้าสินค้า EUDR จากไทยอยู่ที่ 2,041 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 1.5% ของมูลค่าการนำเข้าสินค้า EUDR ทั้งหมดของ EU จากทั่วโลก ซึ่งยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพาราเป็นสินค้า EUDR หลักที่ไทยส่งไป EU (สัดส่วน 89.9% ของมูลค่าการส่งออกสินค้า EUDR ทั้งหมด) โดยเมื่อพิจารณาผลการจัดกลุ่มความเสี่ยงในการตัดไม้ทำลายป่าของประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าสินค้า EUDR มากที่สุด 15 อันดับแรกของ EU จะพบว่า 10 ประเทศถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เช่น จีน, ไทยและเวียดนาม ในขณะที่ อีก 5 ประเทศถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติ ไม่ว่าจะเป็นบราซิล, โกตดิวัวร์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย หรืออาร์เจนตินา (รูปที่ 3)

รูปที่ 3 : ไทยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้า EUDR อันดับ 15 ของ EU โดยสถานะ “เสี่ยงต่ำ” ทำให้ไทยได้เปรียบด้านต้นทุนแล ะโอกาสทางการค้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด EU ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงปกติ 

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Trade map

SCB EIC ประเมินว่า ประเทศเสี่ยงต่ำมีโอกาสในการขยายการส่งออกสินค้า EUDR ทดแทนประเทศเสี่ยงปกติ โดยมูลค่าตลาดที่มีโอกาสทดแทนจะอยู่ที่ 39,586 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโอกาสในการส่งออกทดแทนจะเกิดจากผู้นำเข้าใน EU ต้องการลดความเสี่ยงและต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎของ EUDR จึงมีแนวโน้มหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ ซึ่งไม่ต้องดำเนินขั้นตอนการประเมินและลดความเสี่ยงเพิ่มเติม โดยเมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าสินค้า EUDR ของ EU จาก 5 ประเทศกลุ่มเสี่ยงปกติ จะพบว่า ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ จากถั่วเหลืองมีมูลค่าตลาดสูงสุดอยู่ที่ 10,175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยโกโก้ (7,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมัน (5,995 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)  ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ (5,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) กาแฟ (5,802 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)  ยางพาราและผลิตภัณฑ์จากยางพารา (2,657 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และวัว (การเลี้ยงวัวมีปัญหาการถางป่า) และผลิตภัณฑ์แปรรูป (1,465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)  โดยคิดเป็นมูลค่าตลาดรวม 39,586 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ประเทศกลุ่มเสี่ยงต่ำ ยังมีโอกาสในการส่งออกเพิ่มเติม จากการที่ ผู้ส่งออกสินค้า EUDR ไป EU ปรับแหล่งการนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้า EUDR มายังประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อลดต้นทุนการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ EUDR

รูปที่ 4 : ประเทศเสี่ยงต่ำมีโอกาสในการขยายการส่งออกสินค้า EUDR มาทดแทนประเทศเสี่ยงปกติ โดยมูลค่าตลาดที่มีโอกาสทดแทนจะอยู่ที่ 39,586 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Trade map

อุตสาหกรรมยางพาราไทยมีศักยภาพสูงในการขยายตลาดใน EU และจีน ภายใต้กฎหมาย EUDR
ไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก โดยในปี 2024 EU นำเข้ายางพาราจากโกตดิวัวร์ อินโดนีเซียและมาเลเซีย รวมกัน 680,000 ตัน (2.3 เท่าของปริมาณที่ EU นำเข้าจากไทย) ซึ่งผู้นำเข้ายางพาราใน EU มีแนวโน้มที่จะหันมานำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น เพื่อลดต้นทุนการดำเนินการตาม EUDR นอกจากนี้ จีนซึ่งเป็นผู้ผลิตยางล้อรายใหญ่ และส่งออกไปยัง EU เป็นจำนวนมาก ก็มีแนวโน้มที่จะหันมานำเข้ายางพาราจากไทย (เพื่อไปผลิตยางล้อรถยนต์ส่งตลาด EU) เพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนยางพาราจากโกตดิวัวร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเมียนมา (ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง) โดยในปี 2024 จีนมีการนำเข้ายางพาราจาก 4 ประเทศรวมกันสูงถึง 994,000 ตัน

ในด้านปาล์มน้ำมัน แม้ไทยจะยังส่งออกไป EU ไม่มากนัก แต่มีศักยภาพในการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบอันดับ 3 ของโลก รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติและต้องเผชิญข้อกำหนดที่เข้มงวดมากกว่าไทย โดยข้อมูลในปี 2024 ชี้ว่า EU นำเข้าน้ำมันปาล์มดิบและบริสุทธิ์จากสองประเทศนี้รวมกันกว่า 2.4 ล้านตัน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ไทยสามารถเจาะเพิ่มได้ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม โอกาสในสินค้าเกษตรกลุ่มอื่นของไทยยังค่อนข้างจำกัด เนื่องจากกำลังการผลิตยังไม่มากพอ เช่น ถั่วเหลือง, โกโก้, กาแฟ และวัว ซึ่งไทยยังไม่มีผลผลิตมากพอที่จะทดแทนประเทศคู่แข่งในกลุ่มเสี่ยงปกติและสูงได้ในระยะใกล้

รูปที่ 5 : ยางพาราและน้ำมันปาล์มเป็นสองสินค้าเกษตรหลักของไทยที่มีศักยภาพสูงในการขยายตลาดสู่ EU ภายใต้กฎหมาย EUDR

หมายเหตุ : *ถูกจัดอยู่ในประเทศกลุ่มเสี่ยงสูง

ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ EU Trade map และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

ภาคเอกชนไทยบางส่วนได้มีการเตรียมพร้อมรองรับมาตรการ EUDR บ้างแล้ว แม้ผู้ประกอบการ EU
ที่นำเข้าสินค้า EUDR จากไทย จะไม่ต้องดำเนินการในขั้นตอนประเมินและลดความเสี่ยงจากการตัดไม้ทำลายป่า
แต่ผู้นำเข้ายังต้องรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ในขั้นตอนที่ 1 ของกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาระบบที่จะใช้เก็บรวบรวมข้อมูล เช่น พิกัดแหล่งผลิตสินค้า เพื่อส่งให้ผู้นำเข้า EU ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ประกอบการยางพาราไทยหลายหลาย ได้มีการเตรียมพร้อมบ้างแล้ว เช่น ศรีตรัง ได้มีการจัดทำโครงการ “ยางมีพิกัด” หรือ “ยาง GPS” ที่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) แหล่งที่มาของยางพาราได้ 100% ซึ่งถือเป็นต้นแบบที่ผู้ประกอบการรายอื่นควรเร่งดำเนินรอยตาม

ภาครัฐเองก็มีความคืบหน้าในการเตรียมพร้อมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นทะเบียนเกษตรกรควบคู่กับการจัดทำข้อมูลพิกัดทางภูมิศาสตร์ การพัฒนาฐานข้อมูลของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่เชื่อมโยงกับข้อมูลของภาคเอกชน การจัดทำระบบการรับรองสินค้าผ่านระบบดิจิทัล การจัดทำแผนที่การผลิตและพื้นที่ป่าไม้ที่สอดคล้องกับกฎหมายของไทยและข้อกำหนด EUDR เป็นต้น โดยภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ทันก่อนการบังคับใช้กฎหมายปลายปีนี้ ซึ่งจะช่วยรักษาความเชื่อมั่นของ EU และรองรับการตรวจสอบในอนาคต นอกจากนี้ ในระยะต่อไป ภาครัฐควรมุ่งยกระดับศักยภาพในการผลิตสินค้า EUDR ที่มีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น แต่ไทยยังมีผลผลิตน้อย เช่น ถั่วเหลือง, กาแฟ และโกโก้ ซึ่งเป็นสินค้าที่ตลาดโลกโดยรวมต้องการและมีมูลค่าสูง โดยเน้นการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเชื่อมโยงเกษตรกรเข้ากับองค์ความรู้และตลาดโลก ยิ่งไปกว่านั้น ไทยจะต้องติดตามสถานะการจัดกลุ่มประเทศของ EU อย่างสม่ำเสมอ และมีมาตรการดูแลรักษาป่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ไทยถูกปรับระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในอนาคต โดย EU มีกำหนดทบทวนระดับความเสี่ยงของประเทศต่าง ๆ ครั้งแรกในปี 2026

กล่าวโดยสรุป สถานะ “ประเทศเสี่ยงต่ำ” ของไทยภายใต้กฎหมาย EUDR คือ ใบเบิกทางสู่ตลาดการค้ายั่งยืนที่กำลังกลายเป็นมาตรฐานของโลก โดยเฉพาะในยุโรปที่กำลังยกระดับความเข้มงวดต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม โอกาสนี้จะกลายเป็นความได้เปรียบที่ยั่งยืนได้ ก็ต่อเมื่อไทยสามารถรักษาความน่าเชื่อถือในระบบการผลิต ความโปร่งใสของข้อมูล และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนได้อย่างต่อเนื่อง

EUDR จึงไม่ใช่เพียงกฎหมายสิ่งแวดล้อมของยุโรป แต่เป็นบททดสอบว่า ประเทศใดพร้อมจะเป็นผู้เล่นหลักในระบบการค้าโลกที่โปร่งใสและยั่งยืนในระยะยาว…และไทยต้องไม่พลาดโอกาสครั้งนี้

บทวิเคราะห์โดย… https://www.scbeic.com/th/detail/product/EUDR-implication-290525

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon