มิติหุ้น – SCB CIO มองแม้สงครามการค้าเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง แต่ภาษีนำเข้าที่อยู่ในอัตราสูงขึ้น และห่วงโซ่อุปทานที่อาจหยุดชะงัก จะส่งผลให้การเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ เปราะบางมากขึ้น และกระทบกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น จากแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตและสินค้านำเข้า ซึ่ง BlackRock มองว่า การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ทำให้การมองหาโอกาสในการลงทุนทั่วโลกเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ โดยเน้นการ Selective เช่น การเลือกหุ้นรายภูมิภาค และการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ส่วนกรณีที่ Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่ยังอยู่สูง และการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น SCB CIO มองว่า จะส่งผลให้นักลงทุนต้องการส่วนต่างของผลตอบแทนเพื่อชดเชยความเสี่ยง (Term premium) จากการถือพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะยาว มากขึ้น ทั้งนี้ SCB CIO แนะนำลงทุนบน พันธบัตรและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ยสั้น รวมทั้ง ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยแนะคัดสรรหุ้นที่มีคุณภาพในดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ หลีกเลี่ยงดัชนีหุ้นขนาดเล็ก ที่มีอัตราการทำกำไรต่ำ หุ้นยุโรป เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากธีมระยะยาว เช่น AI และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงกลุ่มธนาคาร ส่วนหุ้นญี่ปุ่น ยังได้รับอานิสงส์จากการปฏิรูปภาคธุรกิจที่ยังดำเนินอยู่ ซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตของกำไร และผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นในระยะต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับ BlackRock ที่แนะนำ Overweight ในหุ้นญี่ปุ่น โดยเน้นลงทุนแบบไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพื่อให้ได้ประโยชน์จากค่าเงินเยนที่มีแนวโน้มแข็งค่า ส่วน ธีม AI ในเอเชีย สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงภายในธีม AI เนื่องจาก มีความสัมพันธ์ภายในกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกันค่อนข้างต่ำ ขณะที่ธีม AI ของจีน มีแนวโน้มช่วยสนับสนุนภาพรวมเศรษฐกิจจริงของจีนได้
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากมุมมองการลงทุนที่ SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก มี 3 ประเด็นสำคัญที่น่าติดตาม ได้แก่ 1) สงครามการค้าเริ่มผ่อนคลาย แต่ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้ายังคงมีอยู่ ด้วยอัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริง (Effective Tariff Rates) ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บในปัจจุบัน ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2473 จึงทำให้ นักลงทุนยังมีความกังวลว่า ห่วงโซ่อุปทานโลกอาจหยุดชะงัก คล้ายกับช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่บริษัทในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนสินค้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยความกังวลนี้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนลดลง และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก มีความเปราะบางได้
ทั้งนี้ ผลกระทบด้านภาษีนำเข้ายังทำให้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ เร่งตัว ตามแรงกดดันที่มาจากต้นทุนการผลิตและสินค้านำเข้าที่สูงขึ้น โดย สหรัฐฯ มีสัดส่วนสินค้านำเข้าจากจีนต่อการนำเข้ารวมอยู่ในระดับสูง ทั้งยังมีสัดส่วนสินค้านำเข้าต่อการผลิตรวมในประเทศอยู่ในระดับสูง เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมชื้นส่วนคอมพิวเตอร์ และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ดังนั้นหากความไม่แน่นอนทางการค้ายืดเยื้อ อาจทำให้เกิดความเสียหายเชิงโครงสร้างในระยะยาวได้ เหมือนกับกรณีที่อังกฤษแยกตัวออกจากยุโรป (Brexit) ซึ่งในช่วงดังกล่าว ทำให้การลงทุนภาคเอกชนในอังกฤษลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐฯ และยุโรป
ในส่วนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องเผชิญกับการดำเนินนโยบายที่ยากขึ้น เมื่อต้องเลือกระหว่างการพยุงเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ย และการควบคุมเงินเฟ้อที่ยังสูงจากภาษีนำเข้า การใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สูง และนโยบายกีดกันผู้อพยพ ทำให้การประเมินโอกาสและความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคต มีความซับซ้อนขึ้น
ประเด็นที่ 2 ความไม่แน่นอนทางการค้า มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับในประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ โดยความเปราะบางของบริษัทมีความแตกต่างกัน ตามลักษณะโมเดลธุรกิจ และความเชื่อมโยงบนห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้ บจ.ในสหรัฐฯ ประเมินผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่มีต่อการดำเนินงานแตกต่างกัน บางแห่งประเมินว่า ภาษีจะส่งผลกระทบต่อต้นทุน บางแห่งไม่เปิดเผยแนวโน้มกำไรในปีนี้ ขณะที่ บจ.หลายแห่งเตรียมส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภค เป็นการบ่งชี้ว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ทำให้การคาดการณ์ทั้งในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลประกอบการของบจ.สหรัฐฯ เป็นไปอย่างยากลำบาก ท่ามกลางความเสี่ยงจากการกระจุกตัวที่สูงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนอาจมีการกระจายการลงทุนในหุ้นภูมิภาคอื่น และเน้นคัดเลือกสินทรัพย์ลงทุน (Selective) มากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังคงมองว่า การลงทุนบนตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวม บนพอร์ตหลักระยะยาว ยังมีความเหมาะสม เนื่องจาก ยังได้แรงหนุนจาก การผ่อนคลายด้านกฎระเบียบ (deregulation) และการย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ (reshoring) จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายลงทุน (capex) โดยสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลายของบริษัท Tech ชั้นนำ มีบทบาทระดับโลก มีสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Tech ที่มาก และมี ROIC ซึ่งสะท้อนความสามารถของบจ. ในการจัดสรรทุนให้เกิดกำไรสูง ทั้งนี้ ยังคงแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่สหรัฐฯ มากกว่าหุ้นขนาดเล็ก
ประเด็นที่ 3 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และ แนวโน้มการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (UST Yield) อายุยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการที่นักลงทุนต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยง (Term Premium) จากการถือพันธบัตรระยะยาวสูงขึ้น ทั้งนี้ หากสหรัฐฯ ยังเพิ่มการขาดดุลการคลังต่อเนื่อง อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติทยอยลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ทำให้ทางการสหรัฐฯ อาจต้องดำเนินนโยบายการคลังที่ช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ หรือต้องเสนออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยเฉพาะบนพันธบัตรระยะยาว เพื่อช่วยดึงดูดเงินลงทุน SCB CIO จึงแนะนำให้เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี (Investment Grade Bond) ของสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ยสั้นเป็นหลัก สอดคล้องกับ BlackRock ที่ยังคง Underweight พันธบัตรและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีระยะยาวของสหรัฐฯ แต่ Overweight พันธบัตรและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีระยะสั้นของสหรัฐฯ
นายศรชัย กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายที่เพิ่มขึ้น การมองหาโอกาสการลงทุนจากตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ โดยการลงทุนต้องเน้น Selective มากขึ้น เช่น การเลือกหุ้นรายภูมิภาค และรายกลุ่มอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ควรลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในหลายอุตสาหกรรม
สำหรับ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีโอกาสการลงทุนในดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ โดยต้องเน้นคัดเลือกหุ้นสหรัฐฯ ที่มีคุณภาพ ขณะที่ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในดัชนีหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ซึ่งมี Valuation แพง และอัตรากำไรต่ำ ส่วนตลาดหุ้นยุโรป แนะนำให้เน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ Valuation ไม่แพง และได้ประโยชน์จากธีมระยะยาว เช่น AI และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง กลุ่มธนาคารที่ยังซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 25% ทั้งยังมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น มีต้นทุนลดลง และมีรายได้สุทธิจากดอกเบี้ยดีกว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารก็มีแผนเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ผ่านการจ่ายปันผลและการซื้อหุ้นคืน
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยังได้ประโยชน์จากกระแสการปฏิรูปบรรษัทภิบาลในญี่ปุ่น ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และการกลับมาของเงินเฟ้อของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสัญญาณว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มพ้นจากภาวะเงินฝืด ซึ่งในส่วนของ BlackRock ก็ยังคงคำแนะนำ Overweight หุ้นญี่ปุ่นอยู่ โดยมองว่า การลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น แบบไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน มีความน่าสนใจลงทุน ตามที่เงินเยนมักแข็งค่าขึ้น ในช่วงที่ตลาดโลกเผชิญความผันผวน
ขณะที่ การมองหาโอกาสลงทุนธีม AI ในเอเชีย อาจช่วยกระจายความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในธีม AI ได้ โดยแนะนำให้หาโอกาสลงทุนในกลุ่มฮาร์ดแวร์ เช่น บริษัทผลิตชิป ซัพพลายเออร์ด้านเซิร์ฟเวอร์และการจัดเก็บ (Storage) รวมถึงกลุ่มซอฟต์แวร์ เช่น บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีการสร้างสรรค์คอนเทนท์ และบริษัทที่ทำแอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้ปลายทาง เป็นต้น
นายศรชัย กล่าวว่า สำหรับการมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าสูง เรามองว่า ทองคำสามารถป้องกันพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตได้ โดยราคาทองคำทำสถิติพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 25.3% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน เม.ย. 2568 ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่นมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ นอกจากนี้ ทองคำยังมีปัจจัยหนุนระยะกลางถึงยาว จากการที่ธนาคารกลางส่วนใหญ่มีแนวโน้มซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางจีน
หมายเหตุ : เอกสารนี้จัดทำโดย SCB CIO โดยอ้างอิงจาก บทวิเคราะห์รายเดือน ซึ่งเผยแพร่ ณ วันที่ 26 พ.ค. 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon