มิติหุ้น – รายงานของ Bain & Temasek คาดการณ์ว่า หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส ภายในปี 2070 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเผชิญความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาคนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2030 หรือประมาณ 5% ของ GDP รวมทั้งภูมิภาค
เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ งาน Decarbonize Thailand Symposium 2025 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2025 ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้นำจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสตาร์ทอัพกว่า 30 รายจากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อแสดงนวัตกรรม Climate Tech ที่พร้อมใช้งานจริง
จากงานนี้ ขอพาไปทำความรู้จักกับ 5 สตาร์ทอัพน่าจับตามอง ที่มีแนวทางเฉพาะในการลดคาร์บอนและสร้างโลกที่ยั่งยืนพร้อมคำถามชวนคิดส่งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนเป็นอะไรก็ได้ คุณอยากเปลี่ยนให้มันเป็นอะไร”
Helical Fusion สตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่นที่มุ่งไปถึงการสร้าง ‘ดวงอาทิตย์จำลองบนโลก’ เพื่อเป็นพลังงานสะอาดสูงสุดแห่งอนาคต
“เรากำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นเหมือน ‘ดวงอาทิตย์จำลองบนโลก’ เพื่อเป็นผลิตพลังงานแห่งอนาคต” Takaya Taguchi ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Helical Fusion เริ่มเล่าถึงเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันที่บริษัทกำลังพัฒนา เพื่อเป็นแหล่งพลังงานอนาคตที่ไม่ปล่อยคาร์บอน ไม่มีของเสียกัมมันตรังสีระดับสูง และใช้แหล่งพลังงานเชื้อเพลิงอันอุดมสมบูรณ์จากน้ำทะเล จุดเด่นคือการใช้เตาปฏิกรณ์แบบ Helical Stellarator ซึ่งควบคุมพลาสมาด้วยขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเกลียวคู่ที่สร้างสนามแม่เหล็กแรงสูงช่วยให้เดินเครื่องได้ต่อเนื่อง ปลอดภัย และบำรุงรักษาได้ง่าย บริษัทตั้งเป้าสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานฟิวชันแบบ steady-state แห่งแรกของโลกให้แล้วเสร็จภายในปี 2034 และเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงทศวรรษ 2040
แม้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและการยอมรับในระดับนานาชาติ แต่ Helical Fusion ยังคงมองหาเงินทุนเพิ่มเติมกว่า 300–400 ล้านดอลลาร์เพื่อเดินหน้าโครงการให้ถึงเป้าหมาย โดยเริ่มขยายความร่วมมือมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรของการใช้พลังงานสะอาด
หากเปลี่ยนคาร์บอนเป็นอะไรก็ได้ Takaya บอกว่า “คาร์บอนเป็นพลังขับเคลื่อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติมายาวนาน แต่ตอนนี้ ผมเชื่อว่าถึงเวลาที่จะจินตนาการใหม่ให้มันกลายเป็นสื่อแห่งการแสดงออกของมนุษย์ ด้วยพลังงานฟิวชัน เรากำลังเปิดประตูสู่อนาคตที่ไม่จำเป็นต้องเผาผลาญคาร์บอนอีกต่อไป ปลดปล่อยมันให้กลายเป็นแหล่งของความสร้างสรรค์แทน”
CHOSEN กับเทคโนโลยีบริหารจัดการพลังงาน เพื่อ EV Ecosystem ที่พร้อมรองรับอนาคต
ในยุคที่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เติบโตอย่างก้าวกระโดด CHOSEN สตาร์ทอัพสัญชาติไทยจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พร้อมรองรับการชาร์จจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพ ใน 2 ด้าน คือ หนึ่ง พัฒนาแพลตฟอร์มจัดการสถานีชาร์จ EV ที่รองรับอุปกรณ์หลากหลายแบรนด์และจัดการผ่านระบบเดียวได้ง่าย และ สอง พัฒนาเทคโนโลยีควบคุมโหลดการชาร์จไฟฟ้า ช่วยลดความเสี่ยงของไฟฟ้าดับจากการใช้ปริมาณไฟเกิน โดยไม่ต้องลงทุนหม้อแปลงใหม่ “เราทำหน้าที่เหมือนคนจัดการจราจรของพลังงานไฟฟ้า” วรพจน์ รื่นเริงวงศ์ ผู้ก่อตั้ง CHOSEN กล่าว
นอกจากนี้ CHOSEN ยังมองไกลถึงระบบนิเวศของพลังงานในระดับภูมิภาค โดยมีแผนเชื่อมโยงการบริหารพลังงานข้ามประเทศในอาเซียน เพื่อรองรับอนาคตที่ผู้คนสามารถขับรถ EV ข้ามพรมแดนได้ ปัจจุบันได้มีการทดลองระบบร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดพลังงานได้สูงสุดถึง 70% พร้อมเริ่มขยายไปยังลาว มาเลเซีย และเวียดนาม หลังคว้ารางวัลนวัตกรรมจากหลายเวทีระดับนานาชาติ
วรพจน์ตอบคำถามชวนคิดทิ้งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนได้ ผมอยากให้กลายเป็นสิ่งที่สลายได้เองโดยไม่กระทบใคร ไม่ต้องเป็นภาระให้โลก”
Continewm นวัตกรรมญี่ปุ่นที่ช่วยให้แอร์เย็นเร็ว ประหยัดไฟ และลดคาร์บอนในขั้นตอนเดียว
“นี่คือนวัตกรรมที่ชาญฉลาดมากๆ อย่างที่คนญี่ปุ่นเท่านั้นที่สามารถคิดค้นได้” Thomas GAL ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Continewm กล่าวถึง นวัตกรรมแผ่นกรองอากาศเซรามิกฝังรังสีอินฟราเรดที่จดสิทธิบัตรจากญี่ปุ่น ซึ่งเพียงติดตั้งกับเครื่องปรับอากาศก็สามารถลดพลังงานได้ทันที “เมื่ออากาศไหลผ่านตาข่ายนี้ จะเกิดสองปฏิกิริยาคือ หนึ่ง ฟอกอากาศด้วยประจุลบ ช่วยลด PM 2.5 และ PM 10 และ สอง ช่วยประหยัดพลังงานจากการแตกโมเลกุลน้ำในอากาศให้เล็กลง เพิ่มพื้นที่สัมผัสกับคอยล์เย็น ทำให้เครื่องปรับอากาศเย็นเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง” Thomas อธิบาย พร้อมเสริมว่าบริษัทพิสูจน์ผลลัพธ์จากการวัดค่าการใช้พลังงานก่อน–หลังอย่างเป็นระบบ
เทคโนโลยีแผ่นกรองนี้เริ่มใช้ในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2011 และขยายสู่ไทยในปี 2015 โดยใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ ตั้งแต่โรงแรม โรงงาน สถานทูต ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต พร้อมขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ ยุโรป และสหรัฐฯ Thomas เชื่อว่าแนวทางสู่ Net Zero ต้องเริ่มจากการร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายมากกว่าการแข่งขัน โดยเน้นว่าการลดคาร์บอนต้องผนึกกำลังทำไปด้วยกันทั่วโลก เพราะวิกฤตสภาพภูมิอากาศนั้นไม่มีพรมแดน
และหากเปลี่ยนคาร์บอนได้ Thomas อยากให้คาร์บอนเกลายเป็น ‘เพชร’ “เพราะเพชรคือคาร์บอนที่ผ่านแรงอัดมหาศาล เหมือนเป็นการเปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นสิ่ง หรือเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้นั่นเอง”
LOCOL สตาร์ทอัพไทยที่เปลี่ยนโกโก้ตกเกรดให้เป็นอาหารวัวลดมีเทน เพื่อปศุสัตว์ที่อยู่ร่วมกับโลกได้
เพราะวงการปศุสัตว์ปล่อยก๊าซมีเทนในปริมาณมหาศาล และมีเทนคือก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่าในช่วง 20 ปีแรกที่อยู่ลอยในชั้นบรรยากาศ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ LOCOL พัฒนาอาหารเสริมสำหรับวัวที่สกัดจากผลโกโก้ตกเกรดเหลือทิ้งในประเทศไทย โดยมีการวิจัยรับรองว่าสามารถลดการปล่อยมีเทนจากระบบย่อยของวัวได้ถึง 44.52% “ที่สำคัญคือ โกโก้เหล่านี้ไม่ต้องปลูกเพิ่ม และไม่เพิ่มคาร์บอนฟุตพรินต์” หทัยธนิต ธงทอง ผู้ร่วมก่อตั้ง LOCOL อธิบายเพิ่มเติม ปัจจุบัน LOCOL มีผลิตภัณฑ์สองรูปแบบให้เกษตรกรเลือกใช้ คือ คือ Pre-Mix (ผสมในอาหาร) และ Lick Block (ก้อนแร่ธาตุให้วัวเลีย) โดยเริ่มจากการทดลองในจังหวัดน่าน และเตรียมขยายสู่พื้นที่อื่นในไทย
แม้ยังเป็นทีมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แต่ LOCOL มีเป้าหมายไกลกว่าการลดก๊าซมีเทน พวกเขาอยากเปลี่ยนวิธีคิดของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในประเทศเขตร้อนผ่านโมเดลธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบเหลือใช้จากท้องถิ่น และเตรียมวางระบบเก็บข้อมูลเพื่อรองรับการเคลมคาร์บอนเครดิตในอนาคต พร้อมต่อยอดไปยังภูมิภาคอื่นที่มีของเสียคล้ายกัน
ถ้าสามารถเปลี่ยน “คาร์บอน” ให้เป็นอะไรก็ได้ หทัยธนิตอยากให้เปลี่ยนเป็น “เม็ดเงิน เพื่อนำไปลงทุนในโซลูชันดีๆ ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนให้หายไป”
VEKIN กับการเปลี่ยนคาร์บอนให้ตรวจสอบได้ด้วย AI และบล็อกเชน สู่การลดคาร์บอนที่ยั่งยืน
VEKIN คือสตาร์ทอัพไทยสาย Deep Tech ที่เริ่มต้นจากการเป็น ผู้ทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ก่อนต่อยอดพัฒนาแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI และบล็อกเชน เพื่อเปลี่ยนข้อมูลการปล่อยคาร์บอนที่ซับซ้อนให้กลายเป็นกลยุทธ์ที่นำไปใช้ได้จริง “จากที่มีเอกสารหรือกระบวนการที่ซับซ้อน เราก็ใช้ AI มาทำงานซ้ำๆ แทน เพื่อประหยัดเวลา และช่วยให้ธุรกิจเล็กๆ เข้าถึงการวัดคาร์บอนได้ง่ายและสะดวกขึ้น” วณัส คะเนเร็ว Business Development Manager ของ VEKIN กล่าว พร้อมเสริมว่าระบบทั้งหมดถูกออกแบบให้ปลอดภัยตามมาตรฐาน ISO เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้
นอกจากนี้ VEKIN ยังพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลที่ทำให้การลดคาร์บอนกลายเป็นเรื่องของทุกคน ตั้งแต่ CERO Carbon Wallet ที่เปรียบเหมือนกระเป๋าสตางค์สำหรับเก็บเครดิตคาร์บอนส่วนบุคคล ไปจนถึง Carbon Receipt ที่ยืนยันการชดเชยคาร์บอนในงานอีเวนต์ด้วยบล็อกเชน ล่าสุดยังพัฒนาฟีเจอร์ที่ให้ผู้ร่วมงานอีเวนต์สแกน QR Code เพื่อเลือกวิธีเดินทางและชดเชยคาร์บอนได้แบบเรียลไทม์
“ต่อไปเวลาคุณซื้อสนีกเกอร์ คุณอาจไม่ได้ดูแค่ดีไซน์หรือความสบาย แต่อาจอยากรู้ด้วยว่ารองเท้าคู่นี้ปล่อยคาร์บอนกี่กิโล” วณัสกล่าว ก่อนตอบคำถามทิ้งท้ายว่า “ถ้าเปลี่ยนคาร์บอนได้ อยากให้มันกลายเป็นเครดิตที่ตรวจสอบได้ เพราะทุกการกระทำควรมีข้อมูลรองรับเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน”
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon