THAILAND C VISION SUMMIT 2025 เปิดเวทีผนึกกำลังภาครัฐ–เอกชน จุดประกายการเปลี่ยนผ่านขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ทศวรรษใหม่ที่ยั่งยืน

56

มิติหุ้น-บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) โดย นิตยสาร Business+ ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานสัมมนาครั้งใหญ่ THAILAND CVISION SUMMIT 2025 ภายใต้แนวคิด “THAILAND TRANSFORMATION 2025: จุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดยมีตัวแทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมฉายภาพการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน โดยมองในทิศทางเดียว “ไทยต้องเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ จากผู้รับจ้างผลิตไปสู่เจ้าของแบรนด์” ด้าน 3 สมาคมขานรับ
(สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) แนะต้องสร้างแบรนด์ให้จดจำ 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Thailand Transformation for The Next Decade: ทิศทางไทยในการปรับตัวสู่ทศวรรษใหม่ กล่าวว่า
โลกได้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแล้ว ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะวิธีคิด
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ให้มากกว่า 30-34% ของจีดีพี หรือราว 6 ล้านล้านบาท เพราะประเทศไทยยังน่าลงทุนในสายตาต่างชาติ สะท้อนจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมีความกังวลในเรื่องของโครงสร้างสาธารณูปโภค เช่น เรื่องของไฟฟ้า เรื่องน้ำ และระบบการขนส่ง รวมถึงความไม่คล่องตัวในการเช่าที่ดิน
ทำให้ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องคุณภาพของแรงงาน

“ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อม กล้าพูด และปฏิบัติให้ได้ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น โครงสร้างเศรษฐกิจต้องเปลี่ยนจากผู้รับจ้างผลิตไปสู่การมีแบรนด์เป็นของตัวเอง โดยภาคเอกชนต้องปรับตัวเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล โครงสร้างอุตสาหกรรมหลายอย่างต้องเปลี่ยนไป เพื่อเปลี่ยนผ่านซัพพลายเชนในบ้านเรา ภาคเกษตรต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และต้องบริหารซัพพลายไม่ให้ล้นตลาด แต่ที่ต้องทำคู่ขนานกันไปเรื่องไบโอเทคโนโลยี ซึ่งมีหลายประเทศต้องการมาลงทุนในประเทศไทย เพราะเรามีทรัพยากรรองรับเพียงพอ นอกจากนี้ ในเรื่องท่องเที่ยวต้องปรับเปลี่ยนให้ตรงกับวัฒนธรรมการท่องเที่ยวของคนรุ่นใหม่มากขึ้น รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะทรานส์ฟอร์มประเทศไทยสู่อนาคตที่ดีกว่า” นายพิชัย กล่าว

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจเกียรนาคินภัทร กล่าวในหัวข้อ Transforming Thailand Economy to Become No.1 in Asean: เจาะแนวทางพลิกไทยให้กลายเป็นที่ 1 อาเซียน ระบุว่า การที่ไทยจะเป็นที่หนึ่งในอาเซียน หากมองในแง่ของจีดีพี และรายได้ต่อหัวคงเป็นเรื่องยาก
จึงต้องเลือกแข่งในมิติอื่น ๆ เช่น ผู้นำอาหารปลอดภัย หรือประเทศแห่งโอกาส เป็นต้น ซึ่งเป็นการแข่งขันกับตัวเองในการยกศักยภาพของเศรษฐกิจ โดยรัฐต้องมีบทบาทในการส่งเสริมเศรษฐกิจในภาวะที่มีแรงกดดัน ไม่ใช่นโยบายระยะสั้น แต่ต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ทำให้ให้เอื้อต่อภาคเอกชน ในขณะที่เอกชนต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ไปสู่สินค้าและบริการที่เพิ่มคุณค่า รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน

“ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน เครื่องจักรเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยเริ่มชะลอตัว และประโยชน์ที่เราเคยได้รับกระแสโลกาภิวัฒน์กำลังเปลี่ยนไปจากเหตุการณ์หลายอย่าง โดยเฉพาะนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนไป ทำให้เศรษฐกิจไทยแนวโน้มการเติบโตช้าลง
สิ่งที่เคย work มาก่อนในช่วง 30 ปีที่ผ่าน ตอนนี้เราอาจจะต้องมาคิดกันใหม่” ดร.พิพัฒน์กล่าว  

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวถึง แนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในโลกยุคใหม่ คือการเปลี่ยนแนวคิดจากการแข่งขันด้วยต้นทุน ไปสู่การสร้างมูลค่า โดยการใช้กลยุทธ์ เชิงนวัตกรรม ที่ครอบคลุมทั้ง 5 มิติ ได้แก่ การตลาดแบบแมสไปสู่การตลาดแบบเฉพาะบุคคล การพัฒนาความยั่งยืน จากแค่ทำตามกฎสู่การสร้างนวัตกรรมที่ยั่งยืน
การยกระดับซัพพลายเชนโลกไปสู่มูลค่าระดับภูมิภาค การแข่งขันจากขนาดสู่ทักษะเฉพาะทาง และการตลาดจาดโปรโมชั่นสู่การสร้างคุณค่าทางจิตใจ โดยแนวคิดนี้ชี้ว่า องค์กรไทย ไม่ต้องแข่งขันกันที่ราคาถูกอีกต่อไป
แต่หากต้องแข่งที่ความสามารถ ความแตกต่าง หรือแม้แต่การสร้างคุณค่ายั่งยืนในระยะยาว

“ประเทศไทยต้องสร้างความหวัง ความไว้วางใจ สร้างธีม ไทยคืออะไร ถ้าใครคิดถึงประเทศไทย ต้องนึกถึงภาพเดียวกันกัน  เราต้องไปทางเดียวกัน”

นายอดุล ขาวลออ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มองว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์โลก ความปั่นป่วนของซัพพลายเชน
และเทคโนโลยีที่เข้ามาดิสรัป การปรับตัวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขของการอยู่รอด บางอุตสาหกรรมสามารถพลิกเกมและเดินหน้าต่อได้ ขณะที่บางอุตสาหกรรม ต้องดิ้นรนหรือขยับออกไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ
จุดแข็งของเราคือชื่อเสียงของสินค้าไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้า Made in Thailand ซึ่งได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อทั่วโลก สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ คือการยกระดับสินค้าที่ผลิตในไทยให้ได้มาตรฐานระดับสากล ไม่ใช่แค่รับจ้างผลิต แต่ต้องมีแบรนด์ของตัวเอง มีคุณค่าที่จับต้องได้ทั้งในประเทศและระดับโลก เราต้องผลักดันให้ ‘Made in Thailand’ กลายเป็นเครื่องหมายความภูมิใจของคนไทย และเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

“เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่ดิ้นรนให้ธุรกิจอยู่รอด แต่ต้องสร้างโอกาสใหม่ที่ยั่งยืน ให้ไทยเป็นเจ้าของแบรนด์ระดับโลกในภาคอุตสาหกรรม และเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่”

คุณนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่าประเทศไทยไม่อาจพึ่งพาแรงงานราคาถูกได้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องเปลี่ยนโมเดลการเติบโตจากการผลิตเพื่อปริมาณ สู่การสร้างมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม นี่คือแก่นของการทรานส์ฟอร์มประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่ ที่ผ่านมา เราผ่านยุคที่พึ่งพาการเกษตร เปลี่ยนผ่านสู่สิ่งทอ ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ จากการลงทุนของญี่ปุ่น วันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ EV, Semiconductor, BCG และ Digital Economy ซึ่งไม่ใช่แค่ผลิตแต่ต้องเชื่อมต่อและคิดค้นตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน ที่จะผลักไทยสู่เศรษฐกิจโลกได้
คือ การพัฒนาคนให้มีทักษะเฉพาะทางในเทคโนโลยีใหม่, การสร้างซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับโลก และการเตรียมพื้นที่รองรับการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงธรรมดา แต่คือจุดเปลี่ยนของประเทศ
เรากำลังเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยไปสู่ยุคใหม่ และเราต้องไปด้วยกัน”

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon