“ไอเรื้อรังอย่ามองข้าม!” หมอเตือนภัยเงียบ ‘มะเร็งปอด’ พบบ่อยแต่รู้ช้า รักษาไม่ทัน เสี่ยงเสียชีวิตไม่รู้ตัว

12

มิติหุ้น – คุณเคยไอเรื้อรังมานานแค่ไหน? ไอจนเจ็บหน้าอก ไอปนเลือด น้ำหนักลดโดยไม่รู้สาเหตุ หายใจติดขัดหรือเหนื่อยง่าย… หากคุณเคยมีอาการเหล่านี้ อย่าคิดว่าเป็นเพียงภูมิแพ้หรือโรคหวัดธรรมดา เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทยจำนวนมากในแต่ละปี นั่นคือ “มะเร็งปอด” โรคร้ายที่มักไม่มีสัญญาณเตือนในระยะแรก และเมื่อรู้ตัวอีกทีก็อาจสายเกินไป

พญ.มัณฑนา สันดุษฎี อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ และเวชบำบัดวิกฤต โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า มะเร็งปอดสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรกและได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยแม้ว่าปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้อย่างชัดเจน แต่พบว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือการสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูบเองหรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่วันละ 1 ซอง เป็นระยะเวลานาน 20 ปี จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 8 – 20 เท่า ทั้งนี้สารเคมีในบุหรี่มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อปอดและกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่ไม่ควรมองข้าม เช่น การสัมผัสแร่ใยหินหรือแอสเบสตอสในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ก๊าซเรดอนที่สะสมจากหิน ดิน หรือทรายในสิ่งปลูกสร้างบางประเภท สารเคมีอย่างสารหนู ถ่านหิน หรือควันพิษจากท่อไอเสีย รวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอักเสบในปอดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ของเซลล์ ส่งผลให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นถึง 1 – 1.4 เท่า

พญ.มัณฑนา ให้ข้อมูลต่อว่า มะเร็งปอดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (Non-small cell lung cancer) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีทั้ง adenocarcinoma และ squamous cell carcinoma และอีกชนิดคือ มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small cell lung cancer) ซึ่งพบได้น้อยกว่า แต่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและการฉายแสงได้ดี

สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่ หรือมีคนในครอบครัวเคยป่วยเป็นมะเร็งปอด เพราะแม้ว่าในระยะแรกมะเร็งปอดมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามขึ้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการชัดเจนมากขึ้น เช่น ไอเรื้อรัง ซึ่งพบได้ถึง 50–75% ของผู้ป่วย ไอมีเลือดปนหรือเลือดสดในเสมหะ (25–50%) หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หายใจมีเสียงดัง หรือเสียงแหบ อาการเหล่านี้อาจคล้ายกับโรคทางเดินหายใจอื่น เช่น วัณโรค จึงจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์อย่างละเอียดเพื่อความแน่ชัด

พญ.มัณฑนา กล่าวปิดท้ายว่า การตรวจเอกซเรย์ปอดทั่วไปอาจไม่สามารถพบก้อนมะเร็งในระยะเริ่มต้นได้ ดังนั้นการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้รังสีต่ำ (Low-dose CT scan) จึงมีความแม่นยำและสามารถช่วยตรวจพบความผิดปกติในปอดได้เร็วกว่ามาก โดยวิธีนี้ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ใช้เป็นแนวทางมาตรฐานในการตรวจคัดกรองในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป มีประวัติสูบบุหรี่มากกว่า 30 pack-years และเลิกบุหรี่มาไม่เกิน 15 ปี แม้จะไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม

หากตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดแล้ว แพทย์จะวางแผนการรักษาตามชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค และสภาพร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งในปัจจุบันมีหลายแนวทาง ได้แก่ การผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสี และการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงหรือ Targeted Therapy โดยแพทย์จะร่วมพิจารณากับผู้ป่วยและครอบครัวอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา

 “การป้องกันยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ งดรับควันบุหรี่มือสอง หมั่นดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงมลพิษ และควรตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพราะยิ่งพบเร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสรักษาหาย และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ” เพราะบางครั้งแค่ “อาการไอ” ก็อาจเป็นสัญญาณแรกที่ช่วยให้คุณรักษาชีวิตไว้ได้ทันเวลา

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon