มิติหุ้น – Trend Spotter
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสาน โดย DJIA ปิดลบเล็กน้อย (-0.003%) ในขณะที่ S&P500 (+0.09% dod) และ Nasdaq (+0.31% dod) ได้แรงหนุนจากกลุ่ม Magnificent 7 (Amazon, Alphabet)
ทั้งนี้ตลาดยังอยู่ในช่วง Wait& See เพื่อรอการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ที่กรุงลอนดอน ซึ่งดำเนินต่อเป็นไปวันที่ 2 และคาดว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าได้ ส่งผลให้ทิศทางพันธบัตรสหรัฐ และ US Index dollar ยังคงเคลื่อนไหวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับวันศุกร์ที่ผ่านมา (หลังจาก Donald Trump และ Xi Jinping ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์สัปดาห์ที่ผ่านมา และเป็นไปด้วยดี)
ทั้งนี้หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มอุตสาหกรรม ปิดในแดนลบ แม้ว่าหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และ วัสดุก่อสร้างปิดในแดนบวก แต่กลุ่มสาธารณูปโภค และ การเงิน ยังคงกดดันตลาด รวมถึงหุ้น Apple (-1.2%) หลังการประชุม WWDC ประจำปี 2025 ไม่ได้สร้างความประทับใจแก่นักลงทุนมากนัก (WWDC จัดขึ้นถึงวันศุกร์นี้)
นอกจากนี้ ตลาดรอตัวเลขดัชนีเงินเฟ้อ (CPI) พรุ่งนี้ และ ดัชนีเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) วันพฤหัสฯ เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเนี้ยนโยบายธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)
อ้างอิง FedWatch Tool ตลาดคาดว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ค. จากเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง โดย GDPNow บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 3.8% ใน 2Q25 (vs. -0.2% ใน 1Q25) ในขณะที่ตลาดคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไป 25 bp ในเดือน ก.ย.
สำหรับสัญญาทองคำ COMEX ปิดลบ (-0.25%) ขานรับความคาดหวังของตลาดว่าการเจรจาการค้าจะคืบหน้าและเป็นไปได้ด้วยดี ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบ (WTI) ปิดบวก (+1.1%)
• SET Index : เราคาดว่า SET Index จะเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบ 1,125-1,150 จุด แม้ตลาดคาดหวังว่าการเจรจ้าการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน จะมีความคืบหน้ามากขึ้น แต่เราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยหนุนบวกในระยะสั้น-กลาง เพื่อรอประเด็นในประเทศคลี่คลาย ได้แก่
1) ศาลฎีกาฯ นัดไต่สวนคดี กรณีการรักษาตัวของอดีตนายกรัฐมนตรี วันที่ 13 มิ.ย. นี้
2) ความขัดแย้งแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากเมื่อวาน กัมพูชาตอบโต้ไทยด้วยมาตรการเดียวกัน โดยจำกัดพลเมืองเข้าประเทศ จาก 60 วัน เหลือ 7 วัน (พลเมืองไทย ต้องเดินทางออกนอกประเทศ และประทับตราหนังสือเดินทางใหม่)
เราแนะนำติดตามการประชุมวันที่ 14 มิ.ย. 2025 (วันเสาร์นี้) ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการชานแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission หรือ JBC)
เราเชื่อว่าหากประเด็นดังกล่าวคลี่คลาย, การปรับครม.เสร็จสิ้น, รัฐบาลกลับมาทำหน้าที่ได้เต็มที่ และ อัตราเงินเฟ้อไทยที่หดตัวหนุนการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้แก่ fund flow ต่างชาติได้บางส่วน ท่ามกลาง Valuation ของ SET Index ที่ไม่แพง บริเวณ 12-m forward P/E ที่ได้สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และนักท่องเที่ยวจีนอ่อนแอไปพอสมควร
สำหรับประเด็นอื่นๆ SCGP ได้เข้าซื้อหุ้น DuyTan JSC (DuyTan Plastics Manufacturing Corporation) เพิ่มเติมจาก 70% เป็น 100% โดย เราประมาณการว่าสัดส่วนผู้ถือหุ้นใหม่จะเพิ่มกำไรสุทธิราว 244 ล้านบาทต่อปี จากการประมาณการของเรา โดยการทำธุรกรรมจะเสร็จสิ้นในเดือน มิ.ย. เราเชื่อว่าราคาซื้อขายสะท้อน PE ที่ 15x และ EV/EBITDA ที่ 8x เป็นราคาที่สมเหตุสมผล และเป็นบวกในมุมของเรา
• หุ้นแนะนำ
BBL : เราเชื่อว่า BBL มีความเสี่ยงจากการหดตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยน้อยกว่า TTB, KTB และ SCB สำหรับ FY25-26F เนื่องจากมีสัดส่วนสินเชื่อแก่ Retail และที่อยู่อาศัยเพียง 12% ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา และมี Dividend yield ราว 6.3-6.5% สำหรับ FY25-27F
(Take profit : 149.5 / Stop loss : 135.0)
MOSHI : ท่ามกลางกลุ่มค้าปลีกที่ส่งสัญญาณอ่อนแอ จาก SSSG ที่ลดลงในเดือน เม.ย.-พ.ค. เราเชื่อว่ากลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าอุปโภค บริโภคจะได้รับผลกระทบน้อยสุด เช่น สินค้า Life style ที่มีราคาถูก เราเชื่อว่าแบรนด์ที่แข็งแกร่ง รูปแบบสาขาที่ขยายได้ จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และจะทำให้ MOSHI outperform กลุ่มค้าปลีก
(Take profit : 44.5 / Stop loss : 39.5)
#MacroWealthResearch
#CGSInternational
#CGSI
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon