มิติหุ้น – กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, วันที่ 10 มิถุนายน 2568 – รูปแบบการค้าขายในอนาคตของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้ปรากฏให้เห็นในงาน Visa Asia Pacific Media Showcase เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งวีซ่าได้เผยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ล่าสุดที่มุ่งยกระดับระบบการชำระเงิน เพื่อผลักดันภาคธุรกิจให้พร้อมเข้าสู่ยุคใหม่ของการค้า
แจ็ค ฟอเรสเทลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ของวีซ่า กล่าวว่า “ด้วยความแข็งแกร่งของเครือข่ายระดับโลกและความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการชำระเงินของวีซ่า ทำให้เรามีศักยภาพที่จะพลิกโฉมภาคธุรกิจสู่รูปแบบใหม่ของการค้าขาย ด้วยผลิตภัณฑ์และโซลูชันทางการเงินใหม่ล่าสุดของวีซ่า ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการรับและจ่ายเงินในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมทั่วภูมิภาค”
แจ็ค ฟอเรสเทลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ของวีซ่า
งาน Visa Asia Pacific Media Showcase ครั้งนี้ เน้นย้ำถึงบทบาทของดิจิทัลคอมเมิร์ซที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งจะมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายสินค้าและบริการของผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งในอนาคตอันใกล้ AI Agents หรือตัวแทนปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถทำงานอย่างอิสระและอัตโนมัติ จะทำหน้าที่ค้นหา เลือกสินค้าและบริการ ตัดสินใจซื้อ และจัดการธุรกรรมต่าง ๆ แทนผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ความเชื่อมั่นในการชำระเงินมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ภายในงานยังจัดแสดงโซลูชันใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของวีซ่า ที่จะช่วยให้พันธมิตรในภูมิภาค ทั้งผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม AI, ฟินเทค, ธนาคาร และร้านค้า สามารถมอบประสบการณ์การชำระเงินที่ปลอดภัยและไร้รอยต่อแก่ผู้บริโภค
ไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือการเปิดตัว Visa Intelligent Commerce โซลูชันสุดล้ำที่ออกแบบมาให้นักพัฒนาระบบและวิศวกรเข้าถึงเครือข่ายการชำระเงินของวีซ่า เพื่อใช้นำร่องในการสร้างระบบการค้าขายที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
Visa Intelligent Commerce: การค้าขายยุคใหม่ของเอเชียแปซิฟิก
Visa Intelligent Commerce โซลูชันล่าสุดที่รวบรวมชุด API แบบบูรณาการ และโปรแกรมความร่วมมือทางธุรกิจนำไปเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม AI ซึ่งจะช่วยให้นักพัฒนาระบบนำความสามารถของ AI Commerce จากวีซ่า ไปประยุกต์ใช้งานอย่างปลอดภัยและขยายผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยวีซ่าเผยว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ กับพันธมิตรระดับแนวหน้าในภูมิภาคอย่าง Ant International รวมถึง Grab และ Tencent เพื่อร่วมกันขยายขอบเขตของ AI Commerce โดยมุ่งสร้างประสบการณ์ชำระเงินที่ปลอดภัยและไร้รอยต่อ
แอนท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Ant International) ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำระดับโลก รวมถึงแกร็บ (Grab) ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมบริการเดินทาง เดลิเวอรี่ การชำระเงินดิจิทัล และบริการทางการเงิน ในแปดประเทศทั่วภูมิภาค และเทนเซ็นต์ (Tencent) บริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านดิจิทัลหลากหลาย อาทิ Weixin หรือ WeChat (ซูเปอร์แอปของจีน)
ตลอดระยะเวลากว่า 25 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายระดับโลกของวีซ่าได้ประมวลผลธุรกรรมไปแล้วถึง 3.3 ล้านล้านรายการ ปัจจุบัน วีซ่ากำลังยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน มาตรฐาน และศักยภาพ เพื่อรองรับการค้าขายที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ กับผู้บริโภคทั่วเอเชียแปซิฟิก และอีกไม่นาน AI Agents จะถูกรวมเข้ากับแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคคุ้นเคย ซึ่งสามารถทำธุรกรรมได้อย่างสะดวกปลอดภัย โดยอาศัยข้อมูลจากวีซ่ากว่า 4.8 พันล้านรายการ และร้านค้าหลายล้านแห่งทั่วโลก
ที.อาร์. รามาจันทรัน หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชันของวีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “แม้เทรนด์การค้าขายทั่วโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่วีซ่ายังคงเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนอนาคตของการค้าขายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”
“เราเชื่อว่า AI Agents จะมีบทบาทมากขึ้นในโลกของการค้า ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายทั่วไป เช่น การสั่งอาหาร ไปจนถึงธุรกรรมที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การจองตั๋วงานอีเวนต์ หรือการจองการเดินทาง ด้วยการรวมศักยภาพของ AI เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่น่าเชื่อถือของวีซ่า ทำให้เรามอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ ปลอดภัย และสะดวกยิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภค ร้านค้า และภาคธุรกิจทั่วภูมิภาค” รามาจันทรัน กล่าวเสริม
ที.อาร์. รามาจันทรัน หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และโซลูชันของวีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ผลิตภัณฑ์และขีดความสามารถใหม่สำหรับเอเชียแปซิฟิก
วีซ่า เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการชำระเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก โดยมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ดังนี้
Stablecoins: วีซ่าอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินดิจิทัลมากว่าห้าปี และขณะนี้กำลังขยายบริการไปสู่การใช้งานบัตรที่รองรับ Stablecoin การเคลียร์ยอด (Settlement) และการชำระเงินที่สามารถตั้งเงื่อนไขการใช้งานได้ (Programmable Money) โดยมีบริการ On-ramp และ Off-ramp ผ่านบัตรที่รองรับ Stablecoin ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถใช้ข้อมูลบัตรวีซ่าในการซื้อ Stablecoin ด้วย Fiat Currency และชำระเงินด้วย Stablecoin กับร้านค้าในเครือข่ายของวีซ่าได้โดยตรง ในเอเชียแปซิฟิก วีซ่า ได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำอย่าง DCS Singapore รวมถึง DTC Pay และ StraitsX ในการพัฒนาโซลูชันบัตรที่รองรับ Stablecoin โดยมีการแปลงสกุลเงินผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการกำกับดูแลตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด
วีซ่า เดินหน้ายกระดับการให้บริการผ่าน Visa Tokenized Asset Platform (VTAP) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้พันธมิตรสามารถออก Token และจัดการ Token ที่อ้างอิงมูลค่าตามเงิน Fiat (Fiat-backed tokens) โดย VTAP ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อระหว่างบล็อกเชนสาธารณะและบล็อกเชนส่วนตัว รองรับระบบการเงินที่สามารถกำหนดโปรแกรมได้ (Programmable Financing) รวมถึงการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่แปลงเป็นโทเคน (Tokenized Assets) และการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน วีซ่ามีแผนขยายการให้บริการ VTAP ไปยังพันธมิตรรายอื่น ๆ เพิ่มเติมภายในปีนี้และต่อไปในปี 2569
Flex Credential: คือบริการใหม่ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถสลับการใช้งานระหว่างบัตรเดบิต บัตรเครดิต และแลกคะแนนสะสมได้อย่างยืดหยุ่น ซึ่งได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ ในเอเชียแปซิฟิก วีซ่าได้เปิดตัว Flex ครั้งแรกเมื่อสองปีก่อนในญี่ปุ่น โดยร่วมกับ Sumitomo Mitsui Banking Corporation (SMBC) และ Sumitomo Mitsui Card Company (SMCC) ภายใต้ชื่อ Olive ปัจจุบันมีผู้ถือบัญชี Olive มากกว่าห้าล้านบัญชีที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากบริการ Visa Flex Credential โดยบัตร Olive ยังคงทำผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยหลายปีที่ผ่านมา ยอดธุรกรรมเฉลี่ยต่อผู้ถือบัตรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของยอดธุรกรรมอื่น ๆ ในญี่ปุ่นถึง 40%
วีซ่า และ SMCC ได้ขยายบริการ Visa Flex Credential เพื่อรองรับกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งสามารถสลับการใช้งานระหว่างบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัวผ่านบัตร Olive ใบเดียวกัน โซลูชันนี้ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงวงเงินเครดิตและการจัดการกระแสเงินสด นอกจากนี้ วีซ่ากำลังร่วมมือกับธนาคารท้องถิ่นในเวียดนามเพื่อเปิดตัว Flex Credential ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ใหม่ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการรับและชำระเงิน
วีซ่า เตรียมเปิดตัวบริการและความร่วมมือใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภค ร้านค้า และภาคธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถชำระเงินและรับเงินได้ง่ายยิ่งขึ้น
Visa Pay: บริการที่ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อกระเป๋าเงินดิจิทัลกับร้านค้าในเครือข่ายของวีซ่าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รองรับการชำระเงินทั้งหน้าร้านและบนช่องทางออนไลน์ โดยบริการนี้เริ่มเปิดให้ใช้งานทั่วเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีผู้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลมากที่สุดในโลก ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ LINE Pay (ไต้หวัน) Maya (ฟิลิปปินส์) OpenRice (ฮ่องกง) และ Woori Card (เกาหลีใต้) ซึ่งจะมีการขยายเครือข่ายให้เข้าถึงง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มทางเลือกการชำระเงินให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ไม่ว่าจะด้วยวิธี แตะเพื่อจ่าย สแกนจ่าย หรือจ่ายผ่านระบบออนไลน์
Digital Identity: โซลูชันความสามารถขั้นสูงในการระบุตัวตนแบบดิจิทัล ประกอบด้วย เทคโนโลยี Passkeys เทคโนโลยี Tap to Confirm และการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลเชิงลึก โดยโซลูชันชุดนี้จะช่วยลดความยุ่งยากให้ผู้บริโภคด้วยกระบวนการที่เป็นดิจิทัลทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการชำระเงิน และเพิ่มอัตราการอนุมัติธุรกรรมด้วยข้อมูลธุรกรรมที่ละเอียดขึ้น พร้อมเทคโนโลยีป้องกันการฉ้อโกงที่ล้ำสมัย โดยพันธมิตรใหม่ที่เริ่มใช้งานโซลูชันนี้ คือ Coles เครือซูเปอร์มาร์เก็ตในออสเตรเลีย และ Maybank ผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในมาเลเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Visa Accept: โซลูชันใหม่ที่ช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยรับชำระเงินเข้าบัตรเดบิตวีซ่าได้โดยตรงผ่านสมาร์ทโฟนที่รองรับระบบ NFC โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องรูดบัตร POS แบบเดิม บริการนี้กำลังเปิดตัวที่เวียดนาม โดยมุ่งสนับสนุนเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและร้านค้ารายย่อย เช่น ร้านค้าแผงลอย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และผู้ให้บริการในพื้นที่ชนบท โดยธนาคารผู้ออกบัตรที่ร่วมให้บริการจะเปิดให้ผู้ถือบัตรรับชำระเงินแบบคอนแทคเลสผ่านแอปฯ ธนาคารของตนเอง
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีซ่าได้ที่ https://www.visa.co.th/en_TH
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon