LA GLACE แบรนด์เครื่องสำอางค์ชั้นนำ ครองใจ Gen Z ตั้งเป้ายอดขายปี68 แตะ 1,000 ล้าน สวนทางเศรษฐกิจซบ หลังปี 66 ทุบสถิติโต 1,000% ยอดขายจาก 40 ล้าน พรวดขึ้นเป็น 400ล้าน ดัน Product Hero “TONER PADS” กระตุ้นยอด หลัง live 4 ชั่วโมง ขายได้ 31 ล้านบาท จ่อสยายปีกลุยตลาดต่างประเทศ หวังดันยอดขายแตะ 2,000ล้าน ภายใน3 ปีข้างหน้า ปักหลักฮ่องกง เปิดประตูสู่ตลาดวัยรุ่นจีน พร้อมแต่งตัวระดมทุนเข้าตลาดหุ้น
นางสาวเอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์(ไอติม) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายทิวาทัพพ์ ธรารักษ์อนันต์ (เฟรนฟราย)ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัด ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ Beauty Product ชั้นนำ LA GLACE (ลา-กลาส) แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำที่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเรียน-นักศึกษาวัยรุ่นGen Z และเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ โดยทำยอดขายทุบสถิติติดท็อปเท็นในแพลตฟอร์มขายออนไลน์หลายช่องทาง
โดยนางสาวเอมลินทร์ เปิดเผยว่า ตนกับนายทิวาทัพพ์ ได้ร่วมกันก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอางค์ LA GLACE ตั้งแต่อายุ 19-20 ปี ในช่วงที่เป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย จนถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว โดยมีผลิตภัณฑ์ที่เป็น Product hero ครองใจชาว Gen Z หลากหลายผลิตภัณฑ์ จากการมุ่งพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ความงามที่ดีที่สุด มีเอกลักษณ์และมีความแตกต่าง จากสินค้าในตลาดในราคาที่จับต้องได้-เข้าถึงง่าย โดยปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์ มากกว่า 80 SKU ประกอบไปด้วยกลุ่ม Make up, Skincareและ Mask sheet
นางสาวเอมลินทร์กล่าวว่า เราได้เริ่มธุรกิจจากการขายสินค้าในช่องทางออนไลน์ของตัวเอง โดยมีตนเองเป็นพรีเซนเตอร์แนะนำและรีวิวสินค้า จาการทำคอนเทนต์และ Live ใน TIKTOK และ IG หลังจากนั้นก็ได้ขยายตลาดออนไลน์ไปในทุกช่องทาง ทั้งบัญชีทางการของบริษัท(OFFICIAL)และช่องทางใน market place ทั้ง shopee, Lazada, TikTok และ Line Shop ฯ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้า Gen Z ทุกช่องทาง โดยปัจจุบันเฉพาะบัญชีOFFICIAL ของ La Glace มีผู้ติดตามรวมทุกช่องทางออนไลน์ถึง 1,500,000 follower หรือผู้ติดตาม และมีฐาน Affiliate (นายหน้าขายสินค้าในออนไลน์) อีกกว่า 140,000คน
นอกจากนี้ เรายังได้ขยายไปตลาดออฟไลน์หลังสินค้าเราเป็นที่ต้องการ บริษัทได้กระจายสินค้า วางขายในร้านค้าปลีกและ Beauty Store ชั้นนำ เช่น watsons, Beautrium, EVEANDBOY, Konvy รวมทั้งใน 7-11 ด้วย
ส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2561 บริษัทมี รายได้ 6.64แสนบาท มีกำไรสุทธิ 1.45แสนบาท ปี2562 มีรายได้ 6.39ล้านบาท กำไร 5.12แสนบาท ,ปี2563 รายได้ 16.90ล้านบาท มีกำไร 3.19ล้านบาทปี2564 รายได้ 13.21ล้านบาท กำไร 1.1ล้านบาท ,ปี2565 รายได้ 39.9ล้าน กำไร 1.65ล้านบาท ปี2566 รายได้ 401.2ล้านบาท กำไร 108.1ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดร่วม 1,000% ขณะที่ปี 2567 มีรายได้ 420 ล้านบาท กำไรสุทธิ 37.7 ล้านบาท
สาเหตุที่ปี 2566 มียอดขายสูงกว่า 400ล้านบาท โตก้าวกระโดดร่วม 1000% และยอดขายยังสูงต่อเนื่องมาถึงปี 2567 เป็นผลจากยอดขายของสินค้าที่เป็น Product hero ที่เปิดตัวในปี 2566 คือ “บลัชดำ”หรือ BLACK MAGIC LIP & CHEEK PH BLUSH ที่ได้การตอบรับอย่างล้นหลาม ครองใจสาวๆ ที่ชอบนำ
เทรนด์ โดยสามารถทำยอดขายไปมากกว่า 1.5 ล้านชิ้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์ตัวอื่นยังคงได้รับความนิยม โดย LA GLACE MINI AIRY SKIN CONCEALER แบบซองสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 1.5 ล้านชิ้นเช่นกัน
สำหรับในปี 68 ได้ตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้นแตะหลัก 1,000 ล้านบาท โดยนอกจาก “บลัชดำ” ที่ยังคงขายดีอย่างต่อเนื่องแล้ว ปีนี้เรามี Product hero ตัวใหม่คือ LA GLACE DAILY TONER PADS แผ่นบำรุงผิวหน้าก่อนแต่งหน้า ที่ได้สร้างกระแสฟีเวอร์ ทันทีที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ และเปิดขายวันแรก จากการ Live เพียง 4 ชั่วโมง สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 31 ล้านบาท โดยคาดว่าตลอดทั้งปีนี้จะสามารถทำยอดขาย LA GLACE DAILY TONER PADS ได้ถึง 600-700ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดขาย”บลัชดำ”และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำยอดขายโดยรวมมากกว่าปีละ 300-400ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถไปถึงเป้าหมายได้ โดยสาเหตุที่ LA GLACE DAILY TONER PADS ได้การตอบรับอย่างดี เพราะด้วยนวัตกรรมล่าสุด คือแผ่นผ้าสำลีที่อุ้มน้ำบำรุงผิวหน้าได้ถึง 20 เท่าของน้ำหนัก ที่เราถือลิขสิทธิ์จากเกาหลีใต้ แต่เพียงผู้เดียวในไทย
“เราถือเป็น Trendsetter ของวงการ Make Up ไทยโดยแบรนด์ LA GLACE เกิดขึ้นเพราะเราต้องการเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจให้กับทุกคน ผ่านการใช้ Make Up และการดูแลตัวเองตั้งแต่ขั้นตอนแรก ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพ ที่ให้ผลลัพธ์ที่จริงใจและมีประสิทธิภาพ โดยเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์การแต่งหน้าทุกลุคของลูกค้าและสินค้าทุกชิ้นของ LA GLACE ต้อง support การแต่งหน้าของคนแต่งหน้าได้จริง นอกจากนี้ LA GLACE ยังเป็นแบรนด์เอเชียเดียว ที่อิงสไตล์การแต่งหน้าแบบ Underground Beauty ความสวยแบบไม่มีกรอบ นอกจากนี้ เรายังมีแบรนด์คอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง ทำให้สามารถเติบโตไปกับเทรนด์การแต่งหน้าได้อย่างยั่งยืน“นางสาวเอมลินทร์กล่าว
ด้านนายทิวาทัพพ์ (เฟรนฟราย) ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะขยายตลาดไปยังต่างประเทศภายใน 3 ปีข้างหน้าคือตั้งแต่ปี 2569ถึง 2571 คือตลาดในเอเชีย รวมทั้งตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐอเมริกาด้วย โดยหมุดหมายแรกที่จะออกไปคือ ฮ่องกง เพราะถือเป็น Gatewayประตูสู่ลูกค้า Gen Z ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2571 ยอดขายทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัท จะมียอดขายรวม 2,000ล้านบาท จากทั้งในและต่างประเทศ โดยต้องการสร้างการเติบโตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ อย่างมั่นคงและยั่งยืน เพื่อเตรียมนำบริษัทระดมทุนจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยปีนี้ได้เริ่มเตรียมวางระบบด้านการเงินและบัญชีต่างๆเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าตลาดหุ้น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในแง่ต้นทุน ภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ รวมถึงสามารถดึงคนเก่งๆ เข้ามาสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์และเพื่อหาโอกาสในการขยายการลงทุนร่วมกับแบรนด์ที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศเพื่อขยายพอร์ตของ LA GLACE
ทั้งนี้ นอกจากคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ดีแล้ว จุดเด่นและจุดแข็งของ LA GLACE คือ เรามีระบบที่ดูแลและบริการที่ดี ทั้งก่อนและหลังการขายให้กับลูกค้านอกจากนี้เรายังมีทีมงานที่เข้มแข็ง โดยอายุเฉลี่ยของทีมงานบริษัทเราจะอยู่ที่ 25 ปี และมีระบบทีม Live ที่แข็งแกร่ง การออกแบบคอนเทนต์ อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญยังมีระบบ Data ครอบคลุม SOV และ พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ทำให้เรารู้จักและรู้ใจลูกค้า ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ Gen Z ได้อย่างตรงความต้องการ ทำให้เราสามารถเป็น Trendsetter ในวงการ Make Upได้อย่างดี ที่สำคัญเราได้สร้าง แบรนด์คอมมูนิตี้ LA GLACE club ที่แข็งแกร่ง เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ดึงคนที่มีคาแลคเตอร์ และ จริตเดียวกันกับแบรนด์มามีสังคมร่วกัน ทำให้สามารถเติบโตไปกับเทรนด์การแต่งหน้าได้อย่างยั่งยืน โดยล่าสุดเราได้รับสมัครทีมงาน ใน LA GLACE club ปรากฎว่า มีคนสนใจยื่นใบสมัครเป็นพันคน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon