มิติหุ้น – ภาคก่อสร้างไทยเผชิญวิกฤติที่สะสมต่อเนื่อง ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังต้องยกระดับ Productivity ไปจนถึงความท้าทายในการประกอบธุรกิจด้านต้นทุน และสภาพคล่อง รวมถึงต้องยกระดับความสามารถในการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืน
– Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงในระยะ 10 ปี
ที่ผ่านมา Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างยังไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากนัก โดยมีอัตราการขยายตัวที่ 2.7%CAGR ซึ่งยังต่ำกว่าภาคบริการกลุ่มอื่น ๆ อย่างกิจกรรมโรงแรม และบริการด้านอาหาร นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายในการประกอบธุรกิจ ทั้งข้อจำกัดทางด้านรายได้ การรับงานก่อสร้างใหม่ ๆ และการบริหารจัดการด้านต้นทุน ซึ่งอาจทำให้เผชิญปัญหาด้านสภาพคล่องของกิจการตามมา
– ความต้องการสิ่งปลูกสร้างที่สอดคล้องกับเทรนด์การสร้างความยั่งยืน เช่น อาคารที่ได้รับรองมาตรฐานด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาวะของผู้ใช้งาน อาคารอัจฉริยะ เป็นแรงกดดันให้ผู้รับเหมาก่อสร้างจำเป็นต้องมีการแข่งขันยกระดับความสามารถในการก่อสร้าง ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างได้
การนำเทคโนโลยีมาใช้ จะช่วยเพิ่ม Productivity และบริหารจัดการความท้าทายต่าง ๆ ในการประกอบธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงสร้างความสามารถในการแข่งขันเข้าประมูลงานก่อสร้าง
– เทคโนโลยีที่ผู้รับเหมาก่อสร้างมีการใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ ซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบและก่อสร้าง เทคโนโลยีก่อสร้างแบบสำเร็จรูป และการใช้บริการแพลตฟอร์มตัวกลาง ทั้ง B2B และ B2C ทั้งนี้ในปัจจุบันผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ และรายกลางบางส่วนเริ่มมีการนำ BIM และ 3D Printing มาใช้แล้ว นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพในการนำ AI มาใช้ เช่น ขั้นตอนการออกแบบ และสร้างแบบจำลองสามมิติ การเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ภูมิอากาศ เพื่อวางแผนการดำเนินโครงการก่อสร้าง อีกทั้ง ยังสามารถนำ AI มาใช้เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายในพื้นที่ก่อสร้าง
– สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กควรเร่งยกระดับการใช้ BIM เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน
และเป็นผู้รับเหมาช่วงของผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่มีการใช้ BIM อยู่แล้วได้ อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีมาใช้ในระยะแรก จะต้องลงทุนด้านเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนาองค์ความรู้ และทักษะแรงงาน
ผู้รับเหมาก่อสร้างควรร่วมมือเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ ที่มีเทคโนโลยีก่อสร้าง
ที่ทันสมัย เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้แผ่นดินไหว
ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีก่อสร้างที่ทันสมัย โดยผู้รับเหมาก่อสร้างไทยควรสร้างความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีก่อสร้างที่สามารถรองรับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างความเชื่อมั่นสำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างได้ต่อไป
การส่งเสริมให้ภาคก่อสร้างใช้เทคโนโลยีมากขึ้นยังต้องอาศัยมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ
ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดมาตรฐานการใช้ BIM ในการประมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐที่มีมูลค่าโครงการสูง การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และการสนับสนุนเงินทุนสำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กที่ลงทุนนำเทคโนโลยี BIM และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องมาใช้ สำหรับเทคโนโลยีก่อสร้างอื่น ๆ ทั้ง 3D Printing, AI, อุปกรณ์และเครื่องจักรอัตโนมัติ, Drone, Sensor, Smart wearable รวมถึงเทคโนโลยีก่อสร้างที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก็ยังต้องได้รับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ต้นทุนการผลิตอุปกรณ์ เครื่องจักร และซอฟต์แวร์ของเทคโนโลยีกลุ่มนี้มีแนวโน้มลดลง ในระดับที่สร้างความคุ้มค่าในการลงทุนนำเทคโนโลยีกลุ่มนี้มาใช้ได้
ภาคก่อสร้างไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านใดบ้าง
Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากนัก มูลค่าภาคก่อสร้างไทยอยู่ในระดับสูงราวปีละ 1.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของมูลค่า GDP แต่หากพิจารณาทางด้าน Productivity แล้ว จะพบว่า Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึงในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา Productivity ของแรงงานในภาคก่อสร้างไทยยังไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากนัก โดยมีอัตราการขยายตัวที่ 2.7%CAGR ซึ่งหากเปรียบเทียบกับภาคบริการด้วยกันเอง ยังเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างกิจกรรมโรงแรม และบริการด้านอาหาร ซึ่งมีอัตราการขยายตัวที่ 5.1%CAGR และการขายส่ง ขายปลีก ซ่อมแซมยานยนต์ รถจักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคล และของใช้ในครัวเรือน ซึ่งมีอัตราการขยายตัวที่ 4.1%CAGR โดยเป็นผลมาจากการที่ภาคก่อสร้างไทยยังไม่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่ม Productivity ได้มากเท่ากับกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เนื่องจากมีรูปแบบการทำงานที่มีผู้ประกอบอาชีพงานพื้นฐานจำนวนมาก[1] อีกทั้ง ยังสามารถพึ่งพาแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในภาคก่อสร้างไทยจำนวนมากได้
รูปที่ 1 : GDP ต่อจำนวนแรงงาน
หน่วย : บาท/คน
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ต้นทุนก่อสร้าง ทั้งค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงาน ยังอยู่ในระดับสูง ปัจจุบันต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของต้นทุนก่อสร้างโดยรวม เพิ่มขึ้นจากในช่วงปี 2018 ที่คิดเป็นสัดส่วนราว 55% ของต้นทุนก่อสร้างโดยรวม โดยราคาวัสดุก่อสร้างหลัก ทั้งเหล็กทรงยาว และปูนซีเมนต์ ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในอดีต ประกอบกับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาพลังงานมีความผันผวน และถูกส่งผ่านมายังต้นทุนการผลิต และการขนส่งวัสดุก่อสร้างตามมา นับเป็นความเสี่ยงด้านต้นทุนก่อสร้างที่ผู้รับเหมาก่อสร้างยังต้องเผชิญอยู่ในระยะข้างหน้า
รูปที่ 2 : ราคาเหล็กทรงยาว และปูนซีเมนต์
หน่วย : บาท/กิโลกรัม
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย |
รูปที่ 3 : จำนวนผู้ประกอบอาชีพงานพื้นฐานในภาคก่อสร้าง
หน่วย : พันคน
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ และกระทรวงแรงงาน |
ในส่วนของต้นทุนค่าแรงงานคิดเป็นสัดส่วนราว 20-30% ของต้นทุนก่อสร้างโดยรวม โดยภาคก่อสร้างมีรูปแบบการทำงานที่มีผู้ประกอบอาชีพงานพื้นฐานเป็นหลัก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความเสี่ยงสูง อีกทั้ง ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่ใช้แรงงานหนัก จึงไม่จูงใจแรงงานไทยให้เข้าสู่ภาคก่อสร้าง และนำมาสู่สถานการณ์การพึ่งพาแรงงานต่างชาติกลุ่ม CLMV ในสัดส่วนสูง โดยในปี 2024 แรงงานต่างชาติกลุ่ม CLMV คิดเป็นสัดส่วนราว 54-58% ของจำนวนแรงงานพื้นฐานในภาคก่อสร้างโดยรวม ทั้งนี้ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ภาคก่อสร้างไทยเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงาน โดยแรงงานกลุ่ม CLMV ในภาคก่อสร้างออกจากไทยไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ค่าแรงงานปรับตัวสูงขึ้น แม้หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง แรงงานกลุ่ม CLMV ได้ทยอยกลับมาทำงานในภาคก่อสร้างจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ค่าแรงงานในภาคก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นจนอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 400 บาท/วัน สูงกว่าค่าแรงงานขั้นต่ำในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ล่าสุดกำหนดไว้ที่ 400 บาท/วัน นับเป็นแรงกดดันด้านต้นทุนที่ผู้รับเหมาก่อสร้างเผชิญอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เผชิญปัญหาด้านสภาพคล่องของกิจการ โดยผู้รับเหมาก่อสร้างที่รับงานภาครัฐเป็นหลักเผชิญความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการรับงานก่อสร้างใหม่ ๆ ราคากลางในการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างที่อาจไม่สอดคล้องกับต้นทุนก่อสร้าง ท่ามกลางสถานการณ์การประมูลที่ยังมีการแข่งขันด้านราคา การเบิกจ่ายค่า K ที่อาจเป็นไปอย่างล่าช้า ตลอดจนสูตรการคำนวณค่า K ที่ไม่สะท้อนต้นทุนการก่อสร้างที่แท้จริง [2]
ในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้างที่รับงานภาคเอกชนเป็นหลัก โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัย ยังเผชิญข้อจำกัดในการรับงานก่อสร้างใหม่ ๆ จากผลของการกลับมาหดตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในปี 2025 โดยการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลให้หน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2020 และ 2021 หดตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ -38%YOY และ -17%YOY ตามลำดับ แม้หน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ในปี 2022 แต่ก็กลับมาหดตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2023 และ 2024 ที่ -5%YOY และ -39%YOY ตามลำดับ จากปัจจัยกดดันด้านกำลังซื้อในกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่ฟื้นตัวช้า และผู้ซื้อที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังเผชิญข้อจำกัด ในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับในปี 2025 SCB EIC คาดว่า หน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องที่ -13%YOY ลงมาอยู่ที่ระดับ 53,000 หน่วย โดยนอกจากกำลังซื้อในกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่ฟื้นตัวช้า และข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องแล้ว ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องรอความเชื่อมั่นของผู้ซื้อคอนโดมิเนียมกลับมาหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว รวมถึงเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและไทย จากนโยบายการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้หน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2025 ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเทียบเท่ากับระดับก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ค่าเฉลี่ยหน่วยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2015-2019 อยู่ที่ 113,064 หน่วย/ปี ส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างที่รับงานภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัย ยังเผชิญข้อจำกัดในการรับงานก่อสร้างใหม่ ๆ
ทั้งนี้การใช้วัสดุก่อสร้างยังมีเศษเหลือจากการตัด/ต่อ ทำให้ระหว่างการก่อสร้างต้องมีการเผื่อการสูญเสียวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูน คอนกรีต เหล็ก กระเบื้อง อิฐ เพิ่มขึ้นอีกราว 5-10%[3] จากปริมาณที่ใช้ นอกจากนี้ การทำงานในภาคก่อสร้างยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดจากการก่อสร้างผิดแบบ ทำให้ต้องแก้ไขหรือก่อสร้างใหม่ ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งมอบงานล่าช้า ส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างมีต้นทุนในส่วนของค่าปรับจากการส่งมอบงานล่าช้าเพิ่มเติม และยังมีผลต่อเนื่องมายังการเบิกจ่ายค่างวดงานให้ล่าช้าออกไป ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของกิจการ
กล่าวได้ว่า ภาคก่อสร้างเผชิญวิกฤติที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังต้องยกระดับ Productivity ไปจนถึงความท้าทายในการประกอบธุรกิจ ทั้งข้อจำกัดทางด้านรายได้ การรับงานก่อสร้างใหม่ ๆ และการบริหารจัดการด้านต้นทุน รวมถึงเผชิญปัญหาด้านสภาพคล่องของกิจการตามมา ตั้งแต่กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ไปจนถึงกลุ่มผู้รับเหมาช่วงใน Supply chain ของผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็ก ส่งผลให้ในช่วงปี 2022-2023 จำนวนการปิดกิจการก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นมาก ขณะที่จำนวนการเปิดกิจการใหม่ลดลง และสำหรับในปี 2024 ก็ยังพบว่า จำนวนการปิดกิจการก่อสร้างยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กที่เผชิญปัญหาด้านสภาพคล่องของกิจการ และข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ขณะที่การเข้ามาแข่งขันประกอบธุรกิจของผู้รับเหมาก่อสร้างชาวจีน ยังเป็นความท้าทายสำคัญ ให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังนำมาสู่การใช้สินค้าวัสดุก่อสร้างจากจีนมากขึ้น โดยเฉพาะเหล็ก และอะลูมิเนียม ส่งผลกระทบต่อเนื่องตลอด Supply chain ของภาคก่อสร้างไทย และคาดว่าสถานการณ์จะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในระยะข้างหน้า
รูปที่ 4 : จำนวนการเปิด และปิดกิจการก่อสร้างประเภทก่อสร้างอาคาร และก่อสร้างวิศวกรรมโยธา
หน่วย : ราย
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ผู้รับเหมาก่อสร้างจำเป็นต้องยกระดับความสามารถในการก่อสร้าง ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการสิ่งปลูกสร้างที่สอดคล้องกับเทรนด์การสร้างความยั่งยืน ความต้องการสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เช่น โครงการที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน, พื้นที่ค้าปลีก, โรงงาน และคลังสินค้า ที่สอดคล้องกับเทรนด์การสร้างความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่ได้รับรองมาตรฐานด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาคารที่ได้รับรองมาตรฐานด้านสุขภาวะของผู้ใช้งานอาคาร ไปจนถึงอาคารอัจฉริยะ (Smart building) ที่มีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในการใช้งาน มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2024 มีโครงการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED, THREES, WELL และ EDGE ในประเทศไทยรวมกันสะสม อยู่ที่ 428 โครงการ ขยายตัวถึง 4.7 เท่าจากในช่วง 10 ปีก่อนหน้า
รูปที่ 5 : จำนวนสะสมของโครงการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED, THREES, WELL และ EDGE ในประเทศไทย
หน่วย : โครงการ
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ U.S. Green Building Council, สถาบันอาคารเขียวไทย, International WELL Building Institute และ Green Business Certification
ทั้งนี้สิ่งปลูกสร้างที่สอดคล้องกับเทรนด์การสร้างความยั่งยืนจะสามารถตอบโจทย์ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างในหลากหลายด้าน เช่น การสร้างแบรนด์ การเพิ่มอัตราค่าเช่าและดึงดูดผู้เช่า การลดค่าใช้จ่ายด้านการใช้พลังงานและด้านการบำรุงรักษา ความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้งานอาคาร การเพิ่มมูลค่าอาคารในอนาคต นับเป็นแรงกดดันให้ผู้รับเหมาก่อสร้างจำเป็นต้องมีการแข่งขันยกระดับความสามารถในการก่อสร้าง ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการสิ่งปลูกสร้างจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างได้
อีกทั้ง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อมุ่งไปสู่การสร้างความยั่งยืน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ด้านสังคม (Social) และด้านธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน Supply chain ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องเร่งปรับกลยุทธ์ตามมา โดยปัจจุบันผู้รับเหมาก่อสร้างได้มีการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการก่อสร้างที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว เช่น การใช้เทคโนโลยีก่อสร้างแบบสำเร็จรูป ที่ช่วยลดฝุ่นในพื้นที่ก่อสร้าง การใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ช่วยลดการก่อมลภาวะ อย่างไรก็ดี ผู้รับเหมาก่อสร้างยังต้องมีการมุ่งเน้นการดำเนินงานตอบโจทย์ความยั่งยืนด้านสังคม และด้านธรรมาภิบาลมากขึ้น เนื่องจากภาคก่อสร้างเป็นประเภทกิจการที่มีจำนวนลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานสูงเป็นลำดับต้น ๆ มาอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า ในปี 2024 มีลูกจ้างในกิจการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย และอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัยที่ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยจากการทำงานอยู่ที่ 5,435 คน เพิ่มขึ้น 6% จากในปี 2023 ประกอบกับภาคก่อสร้าง ยังจำเป็นต้องยกระดับความโปร่งใสด้านการดำเนินงาน ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้าง การใช้วัสดุก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน การก่อสร้าง ไปจนถึงการส่งมอบงานตรงเวลาและตรงตามความต้องการของลูกค้า
เทคโนโลยีก่อสร้างจะช่วยบริหารจัดการความท้าทายได้อย่างไร
การนำเทคโนโลยีมาใช้ ทั้งในการบริหารจัดการโครงการ และในพื้นที่ก่อสร้าง จะช่วยเพิ่ม Productivity และบริหารจัดการความท้าทายต่าง ๆ ในการประกอบธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น เช่น ลดความผิดพลาดจากการก่อสร้างผิดแบบ ลดการเผื่อการสูญเสียวัสดุก่อสร้าง ลดการใช้แรงงาน ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้การดำเนินโครงการก่อสร้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงบริหารจัดการความท้าทายในการประกอบธุรกิจได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการลดต้นทุนก่อสร้าง ทั้งค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานได้แล้ว ยังช่วยให้ผู้รับเหมาก่อสร้างสามารถส่งมอบงานได้ตรงเวลา และเบิกค่างวดงานได้ตามกำหนด ที่จะช่วยลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของกิจการตามมา
การนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้ จะสามารถสร้างความสามารถในการแข่งขันเข้าประมูลงานก่อสร้าง
การนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้ จะช่วยให้ผู้รับเหมาก่อสร้างสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้าง ที่ต้องการสิ่งปลูกสร้างที่สอดคล้องกับเทรนด์การสร้างความยั่งยืน โดยในอนาคตผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้าง อาจกำหนดเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง หรือคุณสมบัติของผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนอย่างเข้มข้นมากขึ้น เช่น การกำหนดกฎระเบียบในการดำเนินการก่อสร้าง ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการลดอุบัติเหตุในพื้นที่ก่อสร้างให้เป็นศูนย์ รวมถึงการก่อสร้างที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ การคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างที่ไม่เคยมีประวัติเสียหายด้านความโปร่งใสในการดำเนินโครงการก่อสร้าง ดังนั้น การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ เช่น เทคโนโลยีก่อสร้างที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีที่เสริมสร้างความปลอดภัยสำหรับแรงงาน เทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับความโปร่งใสในการดำเนินโครงการก่อสร้าง จะมีความจำเป็นมากขึ้น โดยผู้รับเหมาก่อสร้างที่สามารถนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้ จะมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันเข้าประมูลงานก่อสร้าง และมีโอกาสเป็นตัวเลือกในลำดับต้น ๆ ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างได้
เทคโนโลยีที่ผู้รับเหมาก่อสร้างมีการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ได้แก่ ซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบและก่อสร้าง เทคโนโลยีก่อสร้างแบบสำเร็จรูป และการใช้บริการแพลตฟอร์มตัวกลาง ทั้ง B2B และ B2C ซึ่งช่วยเพิ่ม Productivity และบริหารจัดการความท้าทายต่าง ๆ ได้บางส่วน เทคโนโลยีในภาคก่อสร้างที่ผู้รับเหมาก่อสร้างมีการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน จะเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับระบบบริหารจัดการงานก่อสร้าง รวมถึงซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบและก่อสร้างเป็นหลัก โดย Statista Market Insights ประมาณการว่า มูลค่าตลาดซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบและก่อสร้างในไทยจะแตะระดับ 580 ล้านบาทในปี 2025[4] และคาดว่าอัตราการขยายตัวของมูลค่าตลาดในปี 2025-2030 จะอยู่ที่ราว 1.7% ต่อปี โดยเป็นการเติบโตไปตามการก่อสร้างที่มีการขยายตัวของความเป็นเมือง รวมถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
นอกจากนี้ ผู้รับเหมาก่อสร้างยังมีการนำเทคโนโลยีก่อสร้างแบบสำเร็จรูป ได้แก่ Precast, Prefabrication และ Modular มาใช้ ซึ่งเป็นการประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่หน้างาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการก่อสร้างให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น และลดการใช้แรงงานพื้นฐานลง รวมถึงยังสามารถลดฝุ่นในพื้นที่ก่อสร้างได้อีกด้วย อีกทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างยังใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ช่วยลดการก่อมลภาวะ เช่น Greenhouse gas ฝุ่น เสียง ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการของเหลือและขยะจากงานก่อสร้าง
ทั้งนี้ ยังพบว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างมีการใช้บริการแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้เล่นในภาคก่อสร้างกลุ่มต่าง ๆ ทั้งแบบ B2B และ B2C โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะมีบทบาทตั้งแต่การเป็นที่ปรึกษา จัดหาผู้รับเหมาก่อสร้างและวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง ควบคุมการก่อสร้าง ไปจนถึงประสานงานกับสถาบันการเงิน รวมถึงยังมีกลุ่มผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม E-marketplace สำหรับการจัดซื้อวัสดุก่อสร้าง การหาผู้รับเหมาก่อสร้าง และการแข่งขันประมูลงานก่อสร้าง ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้เล่นในภาคก่อสร้างสามารถค้นหาสินค้าและบริการ ที่มีคุณสมบัติและเงื่อนไขที่สอดคล้องกับความต้องการ รวมถึงสามารถเปรียบเทียบราคาได้ โดยการที่ผู้รับเหมาก่อสร้างมีการใช้บริการแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางดังกล่าว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดซื้อวัสดุก่อสร้าง รวมถึงเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการประมูลงานก่อสร้าง หรือเป็นตัวเลือกของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างได้มากขึ้น
ในส่วนของเทคโนโลยีที่จะช่วยยกระดับ Productivity และบริหารจัดการความท้าทายในภาคก่อสร้างได้อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ BIM ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีการนำมาใช้ในภาคก่อสร้างไทยแล้ว แต่ยังจำกัดอยู่แต่เฉพาะโครงการขนาดใหญ่ Building Information Modeling (BIM) เป็นแบบจำลองเสมือนของอาคาร ซึ่งช่วยบริหารจัดการโครงการก่อสร้าง โดยรวบรวมข้อมูล และกระบวนการดำเนินโครงการก่อสร้างทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การเขียนแบบ การคำนวณโครงสร้าง การประเมินราคา การจัดซื้อจัดจ้าง ไปจนถึงการบริหารจัดการ ที่ช่วยให้ผู้เล่นใน Supply chain ของภาคก่อสร้าง ทั้งสถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง และผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้าง สามารถเข้าถึงข้อมูล และกระบวนการดำเนินโครงการก่อสร้างในรูปแบบแบบจำลองสามมิติ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ผู้เล่นในภาคส่วนต่าง ๆ สามารถดำเนินงานร่วมกัน เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบ รวมถึงสามารถนำเสนอข้อมูล ในรูปแบบรายงาน ทั้งนี้การใช้งาน BIM ยังต้องอาศัยการลงทุนทางด้านซอฟต์แวร์ ประกอบกับการใช้งานที่มีกระบวนการ และความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับผู้เล่นหลายภาคส่วน จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เล่นใน Supply chain รวมถึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการใช้งาน จึงส่งผลให้การใช้งาน BIM ยังจำกัดอยู่ในเฉพาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ดำเนินการก่อสร้างโดยผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ และผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางบางส่วนเป็นหลัก
นอกจากนี้ ในภาคก่อสร้างยังเริ่มมีการใช้เทคโนโลยี 3D Printing ซึ่งเป็นการขึ้นรูปโครงสร้างชิ้นงานด้วยการออกแบบ และคำนวณปริมาณวัสดุที่ต้องใช้ผ่านระบบดิจิทัล แล้วผลิตชิ้นงานด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ ซึ่งจะช่วยให้การออกแบบ และผลิตชิ้นงานมีความอิสระ รวมถึงสามารถออกแบบและผลิตชิ้นงานที่มีความซับซ้อนสูงได้ นอกจากนี้ เทคโนโลยี 3D Printing ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการก่อสร้าง โดยลดการใช้แรงงาน เพิ่มความรวดเร็ว รวมถึงมีความแม่นยำในการใช้วัสดุและการผลิตชิ้นงาน ทำให้สามารถลดวัสดุของเหลือ หรือของเสียจากงานก่อสร้างได้อีกด้วย
ภาคก่อสร้างยังมีโอกาสยกระดับการใช้เทคโนโลยีด้านใดอีกบ้าง
ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่มีศักยภาพในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในหลายด้าน จากการที่ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่มีการดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ประกอบไปด้วยกระบวนการทำงานที่มีความซับซ้อน จึงเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการบริหารจัดการโครงการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการก่อสร้าง ยกตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยี AI ในขั้นตอนการออกแบบและสร้างแบบจำลองสามมิติในการก่อสร้างอาคาร โดยเทคโนโลยี AI จะสามารถประมวลผลจากภาพร่างที่ผู้ออกแบบวาด และโครงร่างแบบจำลองสามมิติ ที่สามารถกำหนด ค่าปัจจัยต่าง ๆ เช่น รูปแบบของพื้นที่ก่อสร้าง งบประมาณก่อสร้าง ความต้องการของผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้าง รวมถึงมีการแปลงผลงานที่ออกแบบไปสู่แบบจำลองสามมิติออกมาเป็นตัวเลือกได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะช่วยลดกระบวนการทำงาน ทั้งขั้นตอนการออกแบบ และขั้นตอนการแก้ไขงานออกแบบได้ อีกทั้ง ยังสามารถใช้เทคโนโลยี AI เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ภูมิอากาศ เช่น ความเร็วลม ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ เพื่อคาดการณ์ภูมิอากาศล่วงหน้า และนำมาสู่การวางแผนการดำเนินโครงการก่อสร้าง ในกิจกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยบริหารจัดการให้การดำเนินโครงการก่อสร้างเป็นไปตามแผน และลดความเสี่ยงด้านการส่งมอบงานล่าช้าลงได้
นอกจากนี้ ยังสามารถนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายในพื้นที่ก่อสร้าง ในส่วนของรูปแบบการทำงานที่มีการพึ่งพาแรงงานพื้นฐานเป็นหลัก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายนั้น ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่สามารถนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายในพื้นที่ก่อสร้าง เช่น การนำเทคโนโลยี AI มาใช้กับอุปกรณ์และเครื่องจักรก่อสร้างให้เป็นระบบอัตโนมัติ รวมถึง Drone เพื่อสั่งการให้ทำงานก่อสร้างทดแทนการใช้แรงงานในขั้นตอนการก่อสร้างที่เป็นอันตราย การกำหนดให้เทคโนโลยี AI แจ้งเตือนในกรณีที่มีความผิดพลาดในการใช้งานหรือการติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องจักรก่อสร้าง รวมถึงแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดการเปลี่ยนชิ้นส่วนหรือบำรุงรักษา
อีกทั้ง ยังสามารถนำเทคโนโลยี AI มาใช้กับอุปกรณ์ Sensor เพื่อติดตามเฝ้าระวังข้อมูลในพื้นที่ก่อสร้างได้แบบ Real time อย่างการนำเทคโนโลยี AI มาใช้กับอุปกรณ์ติดตัวแรงงานที่สามารถแจ้งเตือนไปยังผู้ควบคุมงานก่อสร้าง เมื่อแรงงานเกิดอุบัติเหตุหรือมีปัญหาทางสุขภาพ เพื่อนำมาสู่การให้ความช่วยเหลือได้ทันที การนำเทคโนโลยี AI มาใช้กับระบบตรวจวัดฝุ่นละออง และก๊าซต่าง ๆ และกำหนดให้มีการแจ้งเตือนเมื่อถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแรงงาน ไปจนถึงการใช้ Smart wearable เช่น แว่นตาและหมวกนิรภัยอัจฉริยะ ที่มีกล้องซึ่งมีการใช้เทคโนโลยี AR / VR ยูนิฟอร์มอัจฉริยะที่ช่วยลดการใช้แรง และเสริมสร้างความปลอดภัยต่อร่างกายในการยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เทคโนโลยี AI เก็บข้อมูลและวิเคราะห์การเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ก่อสร้างที่กำลังดำเนินโครงการ และนำมาสู่การกำหนดมาตรการป้องกันอุบัติเหตุในพื้นที่ก่อสร้างได้อีกด้วย
ผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กควรยกระดับการใช้ BIM เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน
และเป็นผู้รับเหมาช่วงของผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่มีการใช้ BIM อยู่แล้วได้ ปัจจุบัน ผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กยังใช้ BIM ในเพียงบางขั้นตอนในกระบวนการดำเนินโครงการก่อสร้าง โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ BIM ในขั้นตอนการออกแบบ ทั้งนี้การเร่งยกระดับการใช้ BIM สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กอย่างเต็มศักยภาพ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างในขั้นตอนอื่น ๆ มากขึ้น ตั้งแต่การจัดหาวัสดุก่อสร้าง การสำรวจพื้นที่ การก่อสร้าง ไปจนถึงการส่งมอบงาน จะเป็นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กในการเข้าประมูลงานก่อสร้าง และเป็นตัวเลือกในลำดับต้น ๆ ในการเป็นผู้รับเหมาช่วงของผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่มีการใช้ BIM อยู่แล้วได้ ทั้งนี้การที่ผู้รับเหมารายกลางและเล็กสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งใน Supply chain ของผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ จะนำมาซึ่งการขยายโอกาสทางธุรกิจได้อีกมากในระยะข้างหน้า
ผู้รับเหมาก่อสร้างควรสร้างความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ ที่มีเทคโนโลยีก่อสร้างที่ทันสมัย เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีก่อสร้างอย่างรุดหน้า โดยเฉพาะด้านวิศวกรรม การวางระบบ อุปกรณ์และเครื่องจักรก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งนอกจากจะช่วยเปิดโอกาสในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว ยังจะช่วยหนุนให้ผู้รับเหมาก่อสร้างสามารถสร้างความสามารถในการแข่งขันเข้าประมูลงานก่อสร้างตามมาอีกด้วย
ทั้งนี้แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีก่อสร้างที่ทันสมัย โดยการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ที่เป็นตึกสูง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีก จะมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีก่อสร้างที่สามารถรองรับผลกระทบจากแผ่นดินไหวมากขึ้น ประกอบกับเหตุภัยพิบัติอื่น ๆ เช่น พายุ น้ำท่วม มีแนวโน้มเกิดบ่อยครั้ง และมีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างจะมุ่งเน้นว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีความสามารถ และประสบการณ์ในการก่อสร้างอาคารที่สามารถรองรับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยควรสร้างความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมาก่อสร้างต่างชาติ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีก่อสร้างที่สามารถรองรับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างความเชื่อมั่นสำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างได้ต่อไป
การส่งเสริมให้ภาคก่อสร้างใช้เทคโนโลยีมากขึ้นยังต้องอาศัยมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคก่อสร้างในระยะแรก จะต้องใช้เงินลงทุนด้านเทคโนโลยี รวมถึงยังต้องพัฒนาองค์ความรู้ และทักษะแรงงาน ทั้งแรงงานฝีมือ กึ่งฝีมือ รวมถึงแรงงานพื้นฐาน ซึ่งจะสามารถสร้างความคุ้มค่า และยกระดับ Productivity ของภาคก่อสร้างได้ในระยะยาว ทั้งนี้ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้ผู้รับเหมาก่อสร้างสามารถใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ผ่านการกำหนดมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดมาตรฐานการใช้ BIM ในการประมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐที่มีมูลค่าโครงการสูง จะเป็นการสนับสนุนให้การใช้ BIM ในกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่เป็นไปอย่างแพร่หลายมากขึ้น
ในส่วนของการส่งเสริมการใช้ BIM ในกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็ก อาจอยู่ในรูปแบบการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และการสนับสนุนเงินทุน เช่น การนำเสนอวงเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ การขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลางและเล็กที่ลงทุนนำเทคโนโลยี BIM และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องมาใช้
สำหรับเทคโนโลยีก่อสร้างอื่น ๆ ทั้ง 3D Printing, AI, อุปกรณ์และเครื่องจักรก่อสร้างอัตโนมัติ, Drone, Sensor, Smart wearable รวมถึงเทคโนโลยีก่อสร้างที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก็ยังต้องได้รับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ต้นทุนการผลิตอุปกรณ์ เครื่องจักร และซอฟต์แวร์ของเทคโนโลยีกลุ่มนี้มีแนวโน้มลดลง ในระดับที่สร้างความคุ้มค่าในการลงทุนนำเทคโนโลยีกลุ่มนี้มาใช้ได้
ทั้งนี้การที่บริษัทต่างชาติเข้ามาดำเนินโครงการก่อสร้างภาครัฐในไทยค่อนข้างมากนั้น ภาครัฐอาจจำเป็นต้องพิจารณากำหนดเงื่อนไขการร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาก่อสร้างไทย รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อสร้าง เพื่อส่งเสริมให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยไม่สูญเสียโอกาสในการรับงานก่อสร้างภาครัฐในประเทศ รวมถึงยังเป็นโอกาสให้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อสร้างตามมาอีกด้วย
[1] ผู้ประกอบอาชีพงานพื้นฐาน (Elementary occupations) เช่น คนงานก่อสร้างและบำรุงรักษาถนน เขื่อน และงานวิศวกรรมโยธาอื่น ๆ, คนงานก่อสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้าง
[2] Escalation Factor (ค่า K) คือ ดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน ณ ระยะเวลาที่ผู้รับเหมาก่อสร้างเปิดซองประกวดราคาได้ เปรียบเทียบกับระยะเวลาที่ส่งงานในแต่ละงวด โดยการคำนวณค่า K จะใช้สูตรตามประเภทงานก่อสร้าง ณ เดือนที่ส่งมอบงาน เปรียบเทียบกับค่า K ณ เดือนที่เปิดซองประกวดราคา ถ้าการเปลี่ยนแปลงของค่า K มากกว่า 4% ผู้รับเหมาจะสามารถนำค่า K ไปเรียกร้องขอรับเงินชดเชยได้ แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงของค่า K น้อยกว่า 4% ผู้จ้างเหมาก็จะเรียกค่างานคืนจากผู้รับเหมา ในส่วนที่ราคาวัสดุก่อสร้างลดลง
[3] ประมาณการจาก www.contrepreneur.com
[4] ครอบคลุมโปรแกรมซอฟต์แวร์ เช่น Computer-Aided Design (CAD), Manufacturing (CAM), Product Lifecycle Management (PLM) ที่ใช้ในขั้นตอนต่างๆ ทั้งการใช้บริการแบบ B2C, B2B และ B2G
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon