มุมมองและข้อแนะนำของตำรวจไซเบอร์ ที่เป็นอดีตเด็กติดเกม กับการสร้างการรู้เท่าทันในยุคที่ Cybercrime อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด และบทบาทของ True CyberSafe ในการปิดโอกาสของอาชญากรรมออนไลน์

9

มิติหุ้น – ในช่วง หลายปีที่ผ่านมา (มี.ค. 65 – พ.ค. 68) มีผู้แจ้งความคดีออนไลน์ผ่านศูนย์รับเรื่อง ThaiPoliceOnline กว่า 900,000 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสะสมสูงถึง 9 หมื่นกว่าล้านบาท หรือเฉลี่ยถึง 77 ล้านบาทต่อวัน โดยคดีที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ การหลอกซื้อสินค้าโดยไม่ได้รับของ การหลอกให้โอนเงินผ่านแอป และการหลอกให้กู้เงิน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ภัยไซเบอร์ได้กลายเป็นอาชญากรรมใกล้ตัว ที่ทุกคนอาจตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย

ในช่วงที่อาชญากรรมเคลื่อนย้ายเข้าสู่โลกออนไลน์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB) หรือ “ตำรวจไซเบอร์” จึงมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับภัยไซเบอร์อย่างรอบด้าน ทั้งการปราบปรามอาชญากรรมและการให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อสร้างการ “รู้เท่าทัน” ซึ่งถือเป็นแนวป้องกันชั้นแรก

หนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่มีบทบาทโดดเด่นด้านการสื่อสารกับสังคมคือ พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สารวัตรเติร์ก” ซึ่งมีผลงานด้านการให้ความรู้และเตือนภัยไซเบอร์ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้จริง และต่อไปนี้คือ มุมมองจากประสบการณ์ทำงานของเขาที่เคยผ่านงานด้านสืบสวนสอบสวน และองค์ความรู้ทางด้านอาชญาวิทยา พร้อมข้อแนะนำในการป้องกันตัวเองจากภัยไซเบอร์ในชีวิตประจำวัน และบทบาทของ True CyberSafe ในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ช่วย “ปิดโอกาส” การเกิดอาชญากรรมไซเบอร์

จากอาชญากรรมบนท้องถนน (Street Crime) สู่อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime) 

“อาชญากรรมในเวลานี้ไม่ได้อยู่จำกัดอยู่แค่บนท้องถนนอีกต่อไป แต่ย้ายเข้าสู่โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของทุกคน” พ.ต.ต.พากฤต กฤตยพงษ์ เกริ่นถึงการเปลี่ยนผ่านของโลกอาชญากรรมจากการ “ลัก วิ่ง ชิง ปล้น” แบบดั้งเดิม สู่การเข้าถึงในโลกออนไลน์ที่ทั้งแนบเนียน รวดเร็ว และสร้างความเสียหายมหาศาลยิ่งกว่าเดิม

ในอดีต อาชญากรรมบนท้องถนน (Street Crime) มักเกิดจากการเผชิญหน้ากับเหยื่อโดยตรง เช่น ชิงทรัพย์หรือปล้น ซึ่งต้องใช้กำลังและมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกจับหรือไล่ล่า แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime) ได้กลายเป็นภัยที่แฝงตัวอยู่ในช่องแชต ลิงก์ปลอม หรือการโทรหลอกลวง ผู้ก่อเหตุสามารถซ่อนตัวได้จากทุกมุมโลก และเข้าถึงเหยื่อจำนวนมากได้พร้อมกัน

“อาชญากรรมแบบดั้งเดิมทำให้เหยื่อเสียทรัพย์สินเพียงที่มีอยู่ติดตัว แต่อาชญากรรมไซเบอร์กลับหลอกลวงได้แนบเนียนกว่า และสร้างความเสียหายได้มากกว่า บางรายไม่เพียงแค่โอนเงินจนหมดบัญชี แต่ยังถูกหลอกให้กู้เงินเพิ่มมาโอนให้อีกด้วย ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเล่นกับจิตวิทยา มากกว่าการใช้กำลัง” พ.ต.ต.พากฤต อธิบาย

Cybercrime แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม

แม้อาชญากรรมทางไซเบอร์จะเกิดขึ้นทั่วโลก แต่วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพไม่ได้อิงแค่เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังออกแบบตามจิตวิทยาที่สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละประเทศ  พ.ต.ต.พากฤต อธิบายว่า ในยุโรปมักพบ Romance Scam หรือการหลอกลวงเชิงความสัมพันธ์ เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปิดกว้างและความเชื่อเรื่องความรัก ขณะที่ในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย กลับมีเหยื่อจำนวนมากตกเป็นเป้าของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

“ความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อถือในเจ้าหน้าที่รัฐ หรือแม้แต่ความกลัวเกรงอำนาจของเจ้าหน้าที่ ก็เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเชื่อและทำตามเมื่อมีคนมาอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ โดยโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กดดันหรือต้องตัดสินใจอย่างเร่งด่วน”

จากทฤษฎี Crime Triangle สู่การป้องกันที่เป็นรูปธรรมผ่าน True CyberSafe

เมื่ออ้างอิงตามทฤษฎีสามเหลี่ยมอาชญากรรม (Crime Triangle) การเกิดอาชญากรรมแต่ละครั้งจำเป็นต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ อาชญากร โอกาส เหยื่อ ซึ่งอาชญากรรมแบบดั้งเดิมอาจป้องกันได้ด้วยการแสดงตัวของตำรวจในพื้นที่จริง เช่น จุดตรวจหรือสายตรวจ สำหรับในโลกออนไลน์มี “สายตรวจไซเบอร์” ที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่ออนไลน์ที่มีความเสี่ยง เช่น เพจหลอกลวง เว็บพนัน หรือบัญชีม้า

แต่การทำงานของตำรวจเพียงฝ่ายเดียวอาจไม่เพียงพอ ภาคเอกชนจึงเข้ามาเสริมกำลังในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น บริการอย่าง True CyberSafe ที่ทำการบล็อก หรือ แจ้งเตือน เมื่อผู้ใช้เผลอกดลิงก์อันตรายจากมิจฉาชีพ ที่ส่งผ่าน SMS หรือ Web Browser สำหรับลูกค้าทรู ดีแทคทุกคน นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการ “ปิดโอกาส” ไม่ให้อาชญากรรมไซเบอร์เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น

“แน่นอนว่า มิจฉาชีพต้องพยายามหาช่องทางต่างๆ แต่การที่มีบริการ True CyberSafe ถือว่าช่วยปิดช่องโหว่ เพื่อไม่ให้ผู้คนกับอาชญากรเชื่อมต่อกันได้ในเบื้องต้น” พ.ต.ต.พากฤต อธิบาย

เพราะความรู้คือเกราะที่ดีที่สุด ตำรวจยุคใหม่ต้องสื่อสารให้ประชาชนรู้เท่าทัน

เมื่อถามถึงภัยไซเบอร์ที่ประชาชนควรต้องระวังต่อไป  พ.ต.ต.พากฤตชี้ว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักของมิจฉาชีพ “มิจฉาชีพเริ่มใช้ AI หรือ Deep Fake ที่เป็นการสร้างใบหน้าปลอมของคนรู้จักหรือคนใกล้ชิดมาหลอกลวง รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยี Voice Cloning เลียนเสียงให้เหมือน เพื่อสร้างความเชื่อถือให้เหยื่อหลงเชื่อ แล้วหลอกให้โอนเงินหรือทำตามคำสั่ง”

อย่างไรก็ดี พ.ต.ต.พากฤต ย้ำว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเพียงเครื่องมือที่มิจฉาชีพใช้ “เล่นกับจิตใจคน” ดังนั้น การป้องกันที่ได้ผลที่สุดจึงไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีตอบโต้ แต่คือ “การรู้เท่าทัน” ซึ่งต้องเริ่มจากการสื่อสารและให้ความรู้แก่ประชาชน  และนับเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของตำรวจไซเบอร์ในยุคนี้

“มิจฉาชีพเปลี่ยนแปลงวิธีการตลอดเวลา ดังนั้นการสื่อสารให้ความรู้กับประชาชนเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ โดยมีตำรวจเป็นกระบอกเสียง หรือแม้แต่การที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ช่วย เป็นการส่งแรงกระเพื่อมให้กับประชาชนในวงกว้างได้รับทราบข้อมูล ซึ่งในเวลานี้คนก็เริ่มมีความตระหนักรู้เรื่องภัยไซเบอร์มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”

“กลัว โลภ หลง” จุดอ่อนที่เปิดช่องให้กับภัยไซเบอร์

แม้กลโกงของภัยไซเบอร์จะมีมากมาย และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ พ.ต.ต.พากฤต ยืนยันว่า อาชญากรไซเบอร์มักใช้ 3 สิ่งที่เล่นกับจิตใจของคนและได้ผลอยู่เสมอคือ

  1. ความกลัว โดยสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินให้ตกใจ แล้วหลอกให้ทำตามโดยไม่ทันคิด เช่น อ้างว่าลูกประสบอุบัติเหตุ หรือเจ้าหน้าที่รัฐเรียกสอบสวน
  2. ความโลภ หลอกเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนจำนวนมากอย่างง่ายดาย เช่น หลอกลงทุน กดไลค์แล้วได้เงิน
  3. ความหลง สร้างตัวละครหรือสถานการณ์ที่น่าเชื่อถือ ทำให้คล้อยตาม เช่น ทำตัวเป็นคนรู้จัก หรือผู้เชี่ยวชาญ

“กลลวงอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ พรุ่งนี้อาจจะมีกลลวงใหม่ขึ้นมา แต่สามสิ่งนี้เป็นจุดร่วมที่มิจฉาชีพใช้เสมอ เราจึงต้องมีความสงสัยให้มาก ตั้งคำถามกับทุกสิ่งโดยเฉพาะในโลกออนไลน์”

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมป้องกันภัยไซเบอร์ได้ ผ่านการเป็นอาสาสมัครในโครงการ “Cyber Eye” เพื่อแจ้งเบาะแสเพจปลอม เว็บไซต์หลอกลวง และภัยออนไลน์อื่น ๆ ได้ที่ www.thaipoliceonline.go.th

สุดท้ายนี้ เขายังเชื่อมั่นว่า “ตำรวจต้องปรับตัวและการทำงานให้เข้าวิถีชีวิตของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไป” โดยเฉพาะในยุคที่ภัยคุกคามเกิดขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ และการรู้เท่าทัน คือเกราะป้องกันชั้นแรกที่ทุกคนควรมี “และอยากให้ทุกคนคิดเสมอว่า ‘รีบโอน = โจรยิ้ม’ ” พ.ต.ต. พากฤต ทิ้งท้าย

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon