มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 275 จุด (+0.6%) ขณะที่ Nasdaq , S&P500 ปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้แรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับเจรจาการค้า ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.24% หลังจากความเสี่ยงในตะวันออกกลางลดลง
วันนี้ตลาดจะไปให้น้ำหนักกับการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีจากกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งวันนี้ศาลจะตัดสินว่ารับคำร้องจากวุฒิสภาหรือไม่ ในอดีตที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วประกอบไปด้วย (1) ในช่วงวันที่ 24 ส.ค. 22 ศาลได้รับคำร้องและสั่งให้นายกประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฎิบัติหน้าที่ต่อกรณีเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 8 ปี ในวันนั้นพบว่า SET INDEX ลบเล็กน้อย (-0.12%) และวันถัดมา +0.7% (2) นายกเศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 23 พ.ค. 24 ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องแต่ให้นายกเศรษฐา ทวีสิน ปฎิบัตหน้าที่ต่อไปได้ในวันนั้นพบว่า SET INDEX (-0.22%) และวันถัดมา (-0.24%) จากสถิติพบว่าหากรับคำร้องไม่ว่าจะให้ปฎิบัตหน้าที่ต่อหรือไม่ ตลาดหุ้นไทยมักไม่ได้ตอบรับเชิงลบอย่างมีนัยยะแต่หากวันนี้ศาลไม่รับคำร้องเชื่อว่าตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกโดยสัญญาณเชิงบวกของตลาดหุ้นไทยเริ่มค่อยๆปรากฎจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับไทย (รัฐมนตรีคลังเดินทางไปเมื่อเจรจาเมื่อคืนที่ผ่านมา) พรรคเพื่อไทยประกาศว่าการเจรจาจะเริ่มในวันที่ 3 ก.ค. ช่วงเวลา 21.00 ตามเวลาประเทศไทย หากเจรจาได้ข้อตกลงที่ไทยเผชิญกับภาษีนำเข้าเพียง 10% หรือไม่เกิน 15% จะทำให้ประเทศไทยถือว่ามีความได้เปรียบในเชิงแข่งขันและกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมกับส่งออกจะได้ประโยชน์ (AMATA ITC WHA TU) ในขณะเดียวกันเมื่อวานที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน พ.ค. พบว่าชะลอลงจากเดือนก่อนจากภาคบริการและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม แต่การส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นตามความต้องการอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่ม Data Center โดยการบริโภคภาคเอกชนที่ขจัดฤดูกาลแล้วทรงตัวจากเดือนก่อน โดยการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามหมวดบริการปรับลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ คืนนี้รอติดตามตำแหน่งเปิดรับสมัครงาน (Job Opening) Bloomberg คาดการณ์ที่ 7.3 ล้านตำแหน่ง วันนี้ประเมิน SET เคลื่ิอนไหวในกรอบ 1080 – 1110 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะสะสมหุ้นได้เช่นเดิมเพราะมองที่ Valuation ไม่แพง เน้นที่หุ้นใหญ่พื้นฐานดี อาทิ CPALL CRC ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC SAWAD) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) ส่งออก (ITC TU)
TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 13.10 บาท)
ภาพรวมในช่วงที่เหลือของปีทางผู้บริหารมองว่าต้องรอดูว่าอัตราการจ่ายภาษีเข้าสหรัฐฯจะเป็นเท่าใดหากโดนทุกประเทศจะกระทบไม่มากนัก ทั้งนี้ TU ให้ข้อมูลว่ารายได้ที่เข้าสหรัฐฯที่มีผลกระทบทางตรงจากโรงงานในประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 18% (ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหารทะเลแปรรูป) จากรายได้ที่มาจากสหรัฐฯที่มีสัดส่วน 38% เนื่องจากอีก 20% TU สามารถหาโรงงานอื่นในการส่งเข้าสหรัฐฯได้ โดย TU มีโรงงานผลิตอาหารทะเลแปรรูปที่กาน่า และ เซเชลส์ ที่จะรองรับกับคำสั่งซื้อได้บางส่วน
BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 160.00 บาท)
สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจยังเปาะบางจากทั้งเศรษฐกิจไทยชะลอตัว และความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีนำเข้าไปสหรัฐ ความแข็งแกร่งด้านคุณภาพสินเชื่อจึงมีความสำคัญมากกว่าการเร่งเติบโตสูง เรามองว่า (1) BBL มีงบดุลแข็งแกร่ง (2) Valuation ไม่แพงซื้อขายที่ 0.46x PBV’25E และ (3) ผลตอบแทนเงินปันผลราว 6% ในปี 2025 เป็นปัจจัยจำกัดความเสี่ยงความผันผวนของราคาหุ้น แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2Q25 คาดกำไรสุทธิที่ 12.1 พันล้านบาท (+0.5% YoY, 6% QoQ) โดยคาด NPL ratio ปรับสูงขึ้นเป็น 3.2% ผลจากเศรษฐกิจฟื้นตัวเปาะบาง แต่ยังอยู่ระดับบริหารจัดการได้ และ Coverage ratio ปรับลดลงที่ 287% ยังคงแข็งแกร่ง และสูงสุดในกลุ่มธนาคาร
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon