มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิด 400 จุด (+0.9%) อย่างไรก็ตามดัชนี Nasdaq , S&P500 ปิดในแดนลบเพราะรับแรงกดดันจากหุ้น Tech ขนาดใหญ่ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.5% หลังมีข้อมูลว่าการผลิตของจีนกลับมาขยายตัวอีกครั้ง
เมื่อวานที่ผ่านมาศาลได้รับคำร้องจากวุฒิสภาเกี่ยวกับคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีและให้หยุดปฎิบัตหน้าที่ทันที หากอิงข้อมูลในอดีตพบว่าเคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้วกับนายกตู่ (ศาลรับคำร้องและขอให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ทันที) หลังจากนั้นได้แต่งตั้งรักษาการขึ้นมาแทน ทั้งนี้ช่วงเวลาในการหยุดปฎิบัติหน้าที่จนกระทั่งถึงช่วงที่ศาลกลับมาพิจารณาอีกรอบมักใช้ระยะเวลาราว 1-2 เดือน ส่วนอีกกรณีได้แก่นายกเศรษฐาแต่นายกเศรษฐาได้ปฎิบัติหน้าที่ต่อ อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับกรณีนายกแพทองธารก็ต้องติดตามว่าท้ายที่สุดแล้วจะหลุดจากตำแหน่งหรือไม่ กรณีนายกเศรษฐาหลังจากศาลประกาศให้หลุดตำแหน่งพบว่าในวันดังกล่าว SET INDEX -0.4% และหลังจากนั้นก็ฟื้นตัวกลับมาได้เพราะว่าได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ (นายกแพทองธาร) หากหลังจากนี้ศาลตัดสินว่านายกแพทองธารหลุดจากตำแหน่งก็จำเป็นจะต้องหานายกรัฐมนตรีใหม่ แต่ทั้งนี้ล่าสุดได้แต่งตั้ง สุริยะ จึงรุ่งเรื่องกิจ ขึ้นมาดำรงค์ตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ทำให้นโยบายต่างๆยังคงขับเคลื่อนต่อไปได้ วานนี้เมื่อการเมืองชัดเจนมากขึ้นตลาดจึงตอบรับเชิงบวก ส่วนสหรัฐฯ เมื่อวานนี้รายงานตำแหน่งเปิดรับสมัครงานที่ระดับ 7.77 ล้านตำแหน่งมากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 7.3 ล้านตำแหน่ง พร้อมกับดัชนี PMI ภาคผลิตจากสถาบัน ISM ที่ระดับ 49 ใกล้เคียงกับที่ Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ คืนนี้รอติดตามการจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 9.9 หมื่นราย วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1100 – 1120 อาจพักฐานบ้างหลังเมื่อวานปรับขึ้นมาแรง +1.8% และบรรยากาศรอบด้านเริ่มเป็นลบอาจสร้างแรงกดดันเชิงจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทย ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะสั้นอาจเลือกแบ่งทำกำไรแต่หากเป็นนักลงทุนระยะกลางขึ้นไปยังแนะรอจังหวสะสมช่วงย่อตัวเพราะมองไปข้างหน้ามีปัจจัยหนุนจากเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯผสานกับ Valuation หุ้นไทยที่ยังไม่แพง ยังเน้นที่หุ้นใหญ่ อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (CPALL HMPRO CRC) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (MTC SAWAD) ส่งออก (TU ITC)
TU (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 13.10 บาท)
ภาพรวมในช่วงที่เหลือของปีทางผู้บริหารมองว่าต้องรอดูว่าอัตราการจ่ายภาษีเข้าสหรัฐฯจะเป็นเท่าใดหากโดนทุกประเทศจะกระทบไม่มากนัก ทั้งนี้ TU ให้ข้อมูลว่ารายได้ที่เข้าสหรัฐฯที่มีผลกระทบทางตรงจากโรงงานในประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 18% (ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหารทะเลแปรรูป) จากรายได้ที่มาจากสหรัฐฯที่มีสัดส่วน 38% เนื่องจากอีก 20% TU สามารถหาโรงงานอื่นในการส่งเข้าสหรัฐฯได้ โดย TU มีโรงงานผลิตอาหารทะเลแปรรูปที่กาน่า และ เซเชลส์
ที่จะรองรับกับคำสั่งซื้อได้บางส่วน
MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
2Q25 กำไรปกติจะเติบโตสูง QoQ และมีโอกาสเติบโต YoY หนุนจาก 1) แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ด้วยยอดการจองล่วงหน้าตั้งแต่เดือนเมษายนอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะในโซนยุโรปที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุน RevPar ปรับตัวสูงขึ้น 2) โรงแรมในประเทศไทยได้รับอานิสงค์จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ทั้งอัตราการเข้าพัก (Occupancy) และ RevPar อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และ 3) คาดรายได้ธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นกลับมาทรงตัว YoY ด้วยยอดขายไอศกรีมมะม่วง เมนูฤดูกาลยอดนิยมที่เลื่อนเปิดการขายจาก 1Q25 มาใน 2Q25 เนื่องจากสภาพอากาศต้นปีที่หนาวยาวนานกว่าปีก่อน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon