Pi Daily ตลาดหุ้นระยะสั้นเริ่มหมดปัจจัยหนุน อาจเลือก Take Profit บางส่วน โดยสัปดาห์หน้ามีความเสี่ยงเกี่ยวกับครบกำหนดการเลื่อนขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ส่วนผลเจรจาไทยกับสหรัฐฯยังไม่มีรายงานออกมา

19

มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 344 จุด (+0.77%) ขณะที่ Nasdaq , S&P500 ปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนขานรับกับตัวเลขแรงงานที่แข็งแกร่ง ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.45% นักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีจะกดดันอุปสงค์

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ 1.47 แสนรายมากกว่า Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 1.1 แสนราย พร้อมกับอัตราการว่างงานที่ 4.1% ลดลงมากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 4.3% ภาพรวมบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังไม่ถึงกับชะลอตัวมากนัก ซึ่งเมื่อคืนหลังจากทราบตัวเลขข้างต้นพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯพุ่งขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญพร้อมกับ Dollar Index กลับขึ้นมาแข็งค่า แต่ถึงอย่างนั้นนักลงทุนกลับมองบวกกับตลาดหุ้นผ่านเศรษฐกิจที่ยังค่อนข้างไปได้และไม่กังวลมากนักเกี่ยวกับแรงกดดันด้านดอกเบี้ย โดย CME FED Watch เชื่อว่าจะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนด้วยน้ำหนัก 63.8% ทั้งนี้คืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะปิดทำการเนื่องในวัน Independence Day คืนนี้ฝั่งสหรัฐฯจึงไม่มีปัจจัยต้องติดตาม (ตลาดแรงงานถึงเลื่อนประกาศมาเป็นเมื่อคืนตามเวลาประเทศไทย) แต่อย่างไรก็ตามสัปดาห์หน้าจะมีปัจจัยสำคัญได้แก่ครบกำหนด 90 วันภาษีนำเข้าของสหรัฐฯกับนานาประเทศ ส่วนประเทศไทยนั้นตามกำหนดการได้พูดคุยกับสหรัฐฯไปแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมาแต่อย่างไรยังไม่มีรายงานความคืบหน้าออกมา แต่ก็เชื่อว่าภายในเร็วๆนี้จะมีการรายงานออกมา

ทั้งนี้มีความกังวลว่าภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯคิดกับไทยไม่น่าจะต่ำกว่า 20% ยกเว้นแต่ว่าไทยจะมีข้อเสนอที่ค่อนข้างดีกว่าเวียดนามให้กับสหรัฐฯแต่เบื้องต้นนั้นก่อนหน้านี้รัฐมนตรีคลังระบุเพียงเพิ่มการนำเข้าแก๊สและเนื้อสัตว์รวมไปถึงสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ซึ่งข้อเสนอข้างต้นถือว่าต่ำกว่าที่เวียดนามให้กับสหรัฐฯ (เวียดนามเสนอภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเป็น 0% แลกกับสหรัฐฯคิดภาษีนำเข้าจากเวียดนามที่ 20%) หากท้ายที่สุดแล้วประกาศว่าภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอยู่ในระดับมากกว่า 20% จะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยผ่านการส่งออกผสานกับการย้ายฐานผลิตมาไทยอาจมีความน่าสนใจน้อยลง จึงจำเป็นต้องติดตามประเด็นนี้ใกล้ชิด วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1120 – 1135 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะสั้นอาจเลือกทำกำไรหลังตลาดหมดปัจจัยหนุนระยะสั้นและสัปดาห์หน้ามีความเสี่ยงกับการค้าหากทรัมป์ประกาศไม่เพิ่มระยะเวลาจะเป็นความเสี่ยงกับเศรษฐกิจโลก แต่อย่างไรก็ตามหากตลาดปรับฐานลงมายังมองเป็นโอกาสสะสมหุ้นสำหรับนักลงทุนระยะกลาง ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงระยะสั้นอาจเลือก Trading ในหุ้นที่ไม่มีผลกระทบจากสงครามการค้า อาทิ BDMS MINT โดยรอสะสมหุ้นพื้นฐานดีประกอบไปด้วย CPN CPALL HMPRO KBANK BBL SAWAD

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท)
คาดการณ์รายได้ปี 2025 ที่เติบโตในอัตราลดลง (-2%) โดยใน 1Q25 ประกาศกำไรสุทธิที่ 4.3 พันล้านบาท (+7% YoY) ทรงตัวจากไตรมาสก่อน หนุนจาก 1) รายได้รับรู้จากโรงพยบาลและเตียงผู้ป่วยใหม่ และ 2) การเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกกลาง (+22% YoY) และ CLMV (+11% YoY) ขณะที่ใน 2Q25 เรามองว่าผลประกอบการจะเติบโต YoY แม้อ่อนตัว QoQ จาก 1) ปัจจัยฤดูกาล และ 2) จำนวนผู้ป่วยต่างชาติชะลอตัวในเดือนเมษายน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบระยะสั้นจากเหตุแผ่นดินไหว ทั้งนี้ เราคาดสามารถชดเชยจากการฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคม (+6% YoY)

MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
2Q25 กำไรปกติจะเติบโตสูง QoQ และมีโอกาสเติบโต YoY หนุนจาก 1) แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ด้วยยอดการจองล่วงหน้าตั้งแต่เดือนเมษายนอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะในโซนยุโรปที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุน RevPar ปรับตัวสูงขึ้น 2) โรงแรมในประเทศไทยได้รับอานิสงค์จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ทั้งอัตราการเข้าพัก (Occupancy) และ RevPar อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และ 3) คาดรายได้ธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นกลับมาทรงตัว YoY ด้วยยอดขายไอศกรีมมะม่วง เมนูฤดูกาลยอดนิยมที่เลื่อนเปิดการขายจาก 1Q25 มาใน 2Q25 เนื่องจากสภาพอากาศต้นปีที่หนาวยาวนานกว่าปีก่อน

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon