มิติหุ้น – ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่า ในไตรมาส 2/68 CBG จะมีผลประกอบการแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิเติบโต 21.6% yoy เป็น 840 ล้านบาท จากยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศที่เพิ่มขึ้น 30% และรายได้จากการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเบียร์ที่เติบโตแข็งแกร่ง ซึ่งรายได้ที่เติบโตสูงเป็นผลมาจากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว จากการลดสต็อกของผู้จัดจำหน่ายนอกจากนี้ คาดว่า CBG จะมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ทรงตัวที่ 40.3% แม้จะมีการปรับขึ้นภาษีน้ำตาลในเดือนเม.ย. 68 เนื่องจากต้นทุนการผลิตลดลงและ operating leverage เพิ่มขึ้นตามปริมาณขาย
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ขณะที่ธุรกิจในประเทศยังมีแนวโน้มดี แต่ธุรกิจในต่างประเทศมีทิศทางแตกต่างกัน โดยประมาณการว่า ยอดส่งออกในไตรมาส 2/68 จะลดลง 4% yoy นำโดยยอดขายในกัมพูชาที่ลดลง เนื่องจากมีการจำกัดการขายรอบสถานศึกษาและปัญหาข้อพิพาทชายแดน แต่ยอดขายในเมียนมากำลังอยู่ในขาขึ้นและน่าจะเติบโต 10% yoy ก่อนที่โรงงานใหม่จะเปิดเชิงพาณิชย์ในเดือนก.ค. 68 อย่างไรก็ตาม มองว่ากำลังการผลิตในประเทศพม่าที่มีอยู่จำกัด ซึ่งทำให้ยังต้องพึ่งพิงการส่งออกจากไทยอาจจำกัด upside ในระยะสั้น ดังนั้น จึงประมาณการว่ายอดขายในต่างประเทศจะเติบโตเพียง 5-6% ในปี 69-70
ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ปรับประมาณการ EPS ของ CBG ลง 3.4-4.3% ในปี 68-70 หลังเห็นสัญญาณที่ชี้ว่าตลาดในประเทศใกล้จะเติบโตเต็มที่แล้ว และปัจจัยลบที่ส่งผลต่อยอดขายในกัมพูชา โดยข้อได้เปรียบด้านราคาของเครื่องดื่มคาราบาวแดงค่อยๆ ลดลงหลัง OSP เปิดตัวเครื่องดื่มชูกำลังราคา 10 บาท ซึ่งทำให้ส่วนแบ่งตลาดของคาราบาวแดงทรงตัวมาตั้งแต่ไตรมาส 4/67 นอกจากนี้ แม้รายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายจะยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ธุรกิจนี้มี margin ต่ำจึงส่งผลดีต่อกำไรค่อนข้างน้อย
ดังนั้นการที่ธุรกิจ margin สูงเติบโตลดลง ในขณะที่ธุรกิจ margin ต่ำขยายตัว ทำให้เชื่อว่ากำไรสุทธิของ CBG อาจเติบโตสูงกว่านี้ได้จำกัด หลังจากปี 68
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า CBG จะเปลี่ยนเป็นหุ้นปันผลคุณภาพสูง เนื่องจากงบลงทุนน่าจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากปี 69 และบริษัทยังไม่มีแผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในเร็วๆนี้ ซึ่งเมื่อรวมกับงบดุลและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งบริษัทมีความจำเป็นในการลงทุนไม่มาก จึงประมาณการว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ในปี 69 และอาจแตะ 90-100% ตั้งแต่ปี 70 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้นจาก 3.1% ในปี 68 เป็น 6.2% ในปี 70
ยังแนะนำ “ซื้อ” CBG แต่ปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 69.50 บาท ซึ่งจะเท่ากับ P/E 20 เท่า ในปี 69 และอัตรา ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.0% ทั้งนี้เชื่อว่าการลงทุนใน CBG มีผลตอบแทนน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง โดยบริษัทน่าจะมีกำไรเติบโตดีในระยะสั้นและรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว อย่างไรก็ตาม CBG จะมี downside risk หากผลการดำเนินงานในกัมพูชายังอ่อนตัวและ margin ถูกกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่วนปัจจัยบวกคือการริเริ่มโครงการเพื่อการเติบโต/การซื้อกิจการและผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเร็วกว่าคาดในเมียนมา
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon