มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบเล็กน้อย 19 จุด (-0.04%) แต่อย่างไรก็ตามดัชนี S&P500 , Nasdaq ปิดทำ New High ได้แรงหนุนจากหุ้น Alphabet นักลงทุนกลับมาเก็งกำไรก่อนที่บริษัทจะประกาศผลประกอบการ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.1% ไร้ปัจจัยที่มีนัยยะสำคัญ
วันนี้นักลงทุนจะให้น้ำหนักกับการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งจากหลายๆ สำนักข่าวระบุตรงกันว่าจะมีการนำเสนอผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่เข้าที่ประชุม ในขณะเดียวกันแคนดิเดตที่มีโอกาสเข้าเป็นผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้แก่คุณวิทัย ทั้งนี้จากการให้สัมภาษณ์ของคุณวิทัยจากหลายๆสื่อมีแนวดำเนินนโยบายสนับสนุนแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำรวมถึงผลักดัน SME เข้าถึงระบบสินเชื่อมากขึ้น
พร้อมเสริมเพิ่มเติมว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยนโยบายการเงินอย่างเดียวแก้ไม่ได้จำเป็นจะต้องเสริมกับนโยบายการคลัง สำนักงาน BOI กระทรวงพาณิชย์และรวมไปถึงตลาดหลักทรัพย์ โดยแนวทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในมุมมองคุณวิทัยคือเร่งการขยายตัวของเศรษฐกิจ ลดดอกเบี้ยเงินกู้ (ตัดเงินต้นมากขึ้น) แม้อาจมีความกังวลว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยเร่งการก่อหนี้
คุณวิทัยเชื่อว่าโดยรวมแล้วประโยชน์ของการลดดอกเบี้ยเพื่อแก้หนี้มีน้ำหนักมากกว่า ทั้งนี้ในมุมมองเราหากสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้มองเป็นบวกกับหุ้นอิงการบริโภค อาทิ ค้าปลีก (BJC, CRC, CPALL, CPAXT, HMPRO) ส่วนเมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯมิได้มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ และตลาดหุ้นสหรัฐฯก็ค่อนข้างนิ่งๆรวมไปถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นักลงทุนเข้าสู่ช่วงรอติดตามผลประกอบการ
คืนนี้มีปัจจัยรอติดตามได้แถลงการออกมาให้ข้อมูลของประธาน FED วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1200 – 1215 ตลาดเริ่มเข้าสู่ช่วงลดความร้อนแรงจากการที่ปรับขึ้นมา 13.7% จากจุดต่ำสุดประกอบกับนักลงทุนเริ่มรอติดตามผลประกอบการ ล่าสุดกลุ่มธนาคาพาณิชย์รายงานผลประกอบการ 2Q25 เมื่อรวมกับ KTC มีกำไรสุทธิรวมกันที่ 5.81 หมื่นล้านบาท (+5%YoY -3.5%QoQ) หุ้นที่กำไรเติบโต YoY ได้แก่ KKP KTC SCB และกำไรดีกว่า
Bloomberg Consensus คาดการณ์ได้แก่ KKP, SCB จากนี้รอติดตามผลประกอบการที่จะทยอยรายงานออกมา แต่อย่างไรก็ตามในภาพรวมผลประกอบการขยายตัวมิได้โดดเด่นมากนัก โดยมีความเสี่ยงที่ครึ่งปีหลังผลประกอบการอาจย่ำแย่ตามสภาพเศรษฐกิจและนักท่องเที่ยวที่ลดลง ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเพียงแค่ Trading ระยะสั้นเนื่องด้วยตลาดที่ปรับขึ้นมาและยังไม่มีปัจจัยหนุนตลาดหุ้นข้างหน้าอย่างชัดเจนประกอบกับ Valuation เริ่มไม่ถูกเท่าใดนัก โดยเน้นเลือกหุ้นที่ยังปรับขึ้นน้อย อาทิ KTC, KTB, CPF, KBANK, BDMS, ICHI, CPALL, MTC, MINT นอกจากนี้อาจเลือกเก็งกำไรในกลุ่มการเงิน (MTC, SAWAD, TIDLOR) ค้าปลีก (BJC, CRC, CPALL) จากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท)
ปัจจัยหนุนระยะสั้นจากการแก้หนี้ครัวเรือนหนุนการบริโภค ส่วน Valuation ที่น่าสนใจปัจจุบันซื้อขายที่ราว 14xPE’25E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต พร้อมด้วยผลตอบแทนเงินปันผลคาดหวังระดับ 3% โดยเราคาดรายงานกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 6.7 พันล้านบาท (+8%YoY, -11%QoQ) หนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 20 bps YoY แม้คาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 จะชะลอตัวเล็กน้อย YoY ที่ 0.5% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้น 10 bps YoY
TIDLOR (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 19.00 บาท)
มองว่ากำไรสุทธิในปี 2025 เติบโตได้ดีต่อเนื่องที่ 12% หนุนจากการขยายตัวของสินเชื่อ รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกันภัย และสำรองหนี้ฯ ลดลงจากการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น และคาดว่า ROE ปรับสูงขึ้น
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon