มิติหุ้น – กรุงเทพฯ – 30 กรกฎาคม 2568 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU หนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลก เดินหน้าขยายโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการเลี้ยงกุ้ง (Shrimp Decarbonization Project) ผ่านการผนึกกำลังกับหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และภาคการเงิน โดยบนเวทีเสวนาภายในงาน UN Global Compact NetworkThailand หรือ GCNT Expo 2025 บริษัทฯ ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการยกระดับความร่วมมือ ทั้งด้านนวัตกรรม และการลงทุน เพื่อขยายความสำเร็จการนำ Blue Finance ซึ่งเป็นกลไกทางการเงินเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของท้องทะเล มาใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มกุ้ง มุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
งานเสวนาได้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ ‘Blue Financing and Aquaculture: Empowering the Sustainability Transition เจาะลึกโอกาสและกลไกความร่วมมือ เพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสู่ความยั่งยืน’ โดยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ สถาบันการเงิน ผู้ประกอบการ และตัวแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ได้ร่วมหารือถึงแนวทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและองค์ความรู้ ตลอดจนการนำนวัตกรรมมาช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งสามารถลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างการเติบโตให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลในระยะยาว
ประเด็นสำคัญของการเสวนานั้นมุ่งเน้นไปที่โครงการของไทยยูเนี่ยนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการเพาะเลี้ยงกุ้ง โดยบริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพในการขยายแนวทางการเลี้ยงกุ้งแบบคาร์บอนต่ำไปยังฟาร์มทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนองค์กรในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593
นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก เรามีเป้าหมายในการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมนี้ผ่านหลากหลายพันธกิจ หนึ่งในนั้นคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย โดยไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายจัดหาเงินทุนที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ของการจัดหาเงินทุนระยะยาวภายในปี 2568 และเราเชื่อว่า Blue Finance อันหมายถึงกลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนโครงการที่สร้างความยั่งยืนให้กับท้องทะเล จะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนการนำองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีมาใช้สร้างความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม และส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจสีน้ำเงินหรือ Blue Economy ”
โครงการนำร่องฟาร์มกุ้งคาร์บอนต่ำของไทยยูเนี่ยนเริ่มเผยให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยกุ้งจากโครงการมีวางจำหน่ายแล้วผ่านผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ภายใต้แบรนด์ Chicken of the Sea ภายใต้ความร่วมมือกับ The Nature Conservancy (TNC), Ahold Delhaize USA และ Whole Foods Market โครงการนี้ช่วยให้ฟาร์มกุ้งที่เข้าร่วมสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านแนวปฏิบัติที่ทำได้จริงและอ้างอิงอยู่บนหลักวิทยาศาสตร์ เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิต พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กุ้งจากโครงการสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงการจัดส่ง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่ากุ้งที่ตนบริโภคนั้นมาจากแหล่งผลิตที่ยั่งยืน
เวทีเสวนานี้ยังได้รับเกียรติจากผู้แทนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) กรมประมง และเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่เข้าร่วมโครงการ มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับโอกาสและอุปสรรคในการเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยกลไก Blue Finance และแนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนในประเทศไทยและในระดับสากล
นางสาวฝนทิพย์ ยุทธเสรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (ที่ปรึกษา) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) กล่าวว่า “Blue Finance มีศักยภาพที่จะพลิกโฉมแนวปฏิบัติสำหรับอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงทรัพยากรทางทะเล การจัดสรรเงินทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล จะช่วยให้เกษตรกรสามารถพัฒนาแนวทางการดำเนินงานในแบบที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งเกษตรกร ธุรกิจสังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพได้ดียิ่งขึ้น”
นางสาวมนทกานติ ท้ามติ้น ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง กล่าวว่า “ประเทศไทยมีเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการเงิน โดยโครงการที่สอดรับกับนโยบายระดับชาติ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตในฟาร์มเกษตร ล้วนมีบทบาทสำคัญทั้งในแง่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้กับภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ”
นายพลชาติ เหลืองนฤมิตชัย เจ้าของฟาร์มกุ้ง อนันต์ฟาร์ม ในฐานะตัวแทนเกษตรกร ระบุว่า “ก่อนเข้าร่วมโครงการ การเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี หรือแหล่งเงินทุนที่จำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีความซับซ้อนและท้าทายเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการเมื่อปีที่ผ่านมา ผมได้รับความรู้และประสบการณ์มากมาย รวมทั้งมีความเข้าใจในการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้ได้ดีขึ้น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานลงอย่างมาก ขณะที่การใช้อาหารกุ้งที่มีคุณภาพและผลิตแบบยั่งยืน ทำให้เราใช้อาหารในปริมาณที่น้อยลง และสามารถรักษาคุณภาพน้ำในบ่อได้ดีขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยเปิดโอกาสให้กุ้งของเราขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นความสำคัญเรื่องความยั่งยืน ผมจึงมีความหวังว่าเราจะสามารถทำฟาร์มกุ้งที่ดีต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและครอบครัวของเราได้”
แม้เส้นทางสู่ Net Zero จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การผนึกกำลังจากภาคส่วนต่างๆ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนด้านนวัตกรรมทางการเงิน และแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนั้น สามารถช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง
“เราไม่ได้พูดถึงแค่การเปลี่ยนแปลง แต่เรากำลังสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนนี้เกิดขึ้นได้จริง นี่คือโอกาสที่ประเทศไทยจะก้าวไปเป็นผู้นำ แต่ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร สถาบันการเงิน หน่วยงานกำกับดูแล หรือแม้แต่นักวิจัย เพื่อให้เราสามารถต่อยอดความสำเร็จของโครงการนี้ และขยายผลไปสู่ฟาร์มกุ้งอีกนับร้อยนับพันแห่ง และเป็นต้นแบบที่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกสามารถนำไปปรับใช้ได้” นาย ยงยุทธ กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon