CGSI มองหุ้น 10 อันดับแรกที่น่าจะดีดตัวขึ้นรวดเร็ว หากไทยถูกสหรัฐฯเก็บภาษีต่ำกว่าคาด

163

มิติหุ้น – ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยเชื่อว่าหากสหรัฐเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 25% น่าจะเป็นสถานการณ์กรณีดีที่สุดสำหรับไทย เนื่องจากรัฐบาลน่าจะไม่เปิดตลาดให้สินค้าเกษตรจากสหรัฐ 100% เพื่อปกป้องเกษตรกรไทย

ขณะที่ตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองเชิงบวกในกรณีนี้เช่นกัน เพราะเชื่อว่านักลงทุนไม่ได้คาดหวังว่าอัตราภาษีสหรัฐที่จะเก็บจากไทยจะอยู่ในระดับเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาค ทั้งนี้เชื่อว่ามีโอกาสสูงที่อัตราภาษีของไทยจะยังอยู่ที่ 36% หลังวันที่ 1 ส.ค.68 เนื่องจากสหรัฐอาจยังต้องการใช้มาตรการภาษีกดดันให้ไทยเปิดตลาดสินค้าเกษตร

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยดูเหมือนจะเตรียมพร้อมรับมือกับภาษีนำเข้าของสหรัฐ ที่น่าจะไม่ต่างจากอัตราเดิมมากนักแล้ว โดยรมว.คลังกล่าวว่ารัฐบาลเตรียมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 0.01% วงเงิน 2 แสนล้านบาทสำหรับธุรกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐ ทั้งนี้ไทยน่าจะไม่อนุญาตให้สินค้าเกษตรจากสหรัฐเข้ามาในประเทศโดยเสรี

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า หากรัฐบาลไทยตัดสินใจยอมเปิดตลาดให้สินค้าเกษตรจากสหรัฐเข้ามาในประเทศโดยไม่ต้องเสียภาษี สหรัฐอาจปรับลดอัตราภาษีให้กับสินค้าส่งออกจากไทยเหลือ 20% หรืออยู่ในระดับเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาค หากเป็นกรณีนี้ ตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองเชิงบวกเป็นอย่างมาก เพราะคาดหวังไว้ต่ำ

ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯได้คัดกรองหุ้นที่เป็น worst performer นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐประกาศให้วันที่ 2 เม.ย.68 ว่าเป็น “วันปลดปล่อย” ในกลุ่มที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯทำการศึกษาเพื่อดูว่าหุ้นใดน่าจะฟื้นตัวได้เร็วหากไทยถูกเก็บภาษีต่ำกว่าคาด นอกจากนี้ ยังเลือกหุ้นที่แนะนำ “ซื้อ” และราคาหุ้นยังมี upside ค่อนข้างสูงต่อราคาเป้าหมาย โดยหุ้น 10 อันดับแรกเป็นหุ้นที่เชื่อว่าน่าจะดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้สมมติฐานกรณีสหรัฐเก็บภาษีไทยต่ำกว่าคาด ได้แก่ KTC, SC, AMATA, SHR, KLINIQ, ERW, BJC, CBG, CREDIT และ KTB

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า หากอัตราภาษีสหรัฐต่ำกว่าคาด จะเป็นปัจจัยบวกเหนือความคาดหมายและอาจช่วยกระตุ้นการซื้อขายใน SET อย่างไรก็ดี เชื่อว่านักลงทุนคาดการณ์ไว้แล้วว่าไทยน่าจะถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าต่ำกว่า 36% (แต่ยังสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค) อีกทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทยและกัมพูชาที่ยกระดับขึ้น นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการค้าของไทยแล้ว ยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ดังนั้นเมื่อรวมกับความไม่แน่นอนทางการเมืองช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา  จึงยังระมัดระวังต่อการลงทุนและคงเป้าดัชนี SET ในสิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,200 จุด ซึ่งจะเท่ากับ P/E 13.4 เท่าในปี 69 หรือ -1SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี

ขณะที่ชอบหุ้นกลุ่มการแพทย์, กลุ่มโทรคมนาคมและกลุ่มค้าปลีก แต่แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนกลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มธนาคารและกลุ่มน้ำมันและก๊าซ หุ้น Top pick ได้แก่ BDMS, CPN, ERW, GULF, MINT, MTC, PR9 และ TRUE โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยมี downside risk หากสหรัฐเก็บภาษีน้ำเข้าสินค้าไทยสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคและเกิดความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ รวมถึงการที่บริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการอ่อนตัวในไตรมาส 2/68 ส่วนอัตราภาษีสหรัฐที่ต่ำกว่า 20%, การปรับลดอัตราดอกเบี้ยและสถิตินักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งน่าจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon