มิติหุ้น – ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.5 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี ของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปขยายธุรกิจและชำระคืนหนี้ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันที่ระดับ “A-” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงอยู่ที่ “Negative” หรือ “ลบ”
อันดับเครดิตระดับ “A-” สะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานและสถานะความเป็นผู้นำในตลาดบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงระดับหนี้ที่อยู่ในระดับปานกลางของบริษัท รวมถึงการมีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็น “ลบ” สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของแนวโน้มการฟื้นตัว ซึ่งเกิดจากความท้าทายอย่างต่อเนื่องในการฟื้นตัวของการจัดการสินทรัพย์ และแรงต้านทานจากภาวะเศรษฐกิจมหภาค
อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ นอกเหนือจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดแล้ว ปัจจัยเสี่ยงสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ การมีสินทรัพย์ในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นสัดส่วนสูงและความเสี่ยงด้านการกำหนดราคาสินทรัพย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการทางการเงินของบริษัท หากไม่ได้รับการบริหารจัดการที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเชี่ยวชาญของบริษัทในการประเมินราคาซื้อขายสินทรัพย์ กลยุทธ์ในการเลือกลงทุน รวมถึงความหลากหลายของประเภทและสถานที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ ช่วยลดทอนความเสี่ยงเหล่านี้ลงได้ในระดับหนึ่ง
อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากการคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในการจัดเก็บเงินสดและผลกำไรในปี 2568-2570 โดยคาดว่าการจัดเก็บเงินสดจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความพยายามในการเก็บและการปรับโครงสร้างหนี้ด้อยคุณภาพ (Non-performing Loan — NPL) รวมถึงการเร่งขายสินทรัพย์รอการขาย (Non-performing Asset — NPA) ทริสเรทติ้งคาดว่าการเก็บเงินสดจะเพิ่มขึ้นจาก 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2567 เป็น 1.7 หมื่นล้านบาทภายในปี 2570 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญต่อสมมติฐานฐานนี้ยังคงมีอยู่ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่อ่อนแอ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา และการที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย
บริษัทรายงานกำไรสุทธิที่ 216 ล้านบาท ลดลง 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 บริษัทเปิดเผยธุรกรรมสำคัญ 2 รายการ ได้แก่ การได้รับชำระเงินจากลูกหนี้ด้อยคุณภาพ และการจำหน่ายสินทรัพย์รอการขาย โดยมีมูลค่าธุรกรรมประมาณ 2.8 พันล้านบาท และ 1.45 พันล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งธุรกรรมเหล่านี้คาดว่าจะช่วยเสริมผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของทริสเรทติ้ง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่วัดจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยยังคงอยู่ในระดับที่อ่อนแอ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะพยายามปรับปรุงผลการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้น เพื่อบรรเทาแรงกดดันต่ออันดับเครดิต
ภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัท ซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงมาอยู่ที่ 2.12 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 โดยลดลงจาก 2.18 เท่า ณ สิ้นปี 2567 การลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากกลยุทธ์ของบริษัทในการคัดเลือกลงทุนในลูกหนี้ด้อยคุณภาพอย่างระมัดระวัง ทริสเรทติ้งคาดว่า การลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ของบริษัทจะยังคงต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้บางส่วน และช่วยรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ต่ำกว่า 2.2 เท่าในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากการซื้อลูกหนี้ด้อยคุณภาพเกินกว่าสมมติฐานพื้นฐานที่คาดการณ์ไว้ อาจส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจกดดันอันดับเครดิตได้
ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดจำนวน 2.22 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งแม้จะค่อนข้างมาก แต่ยังมองว่าสามารถจัดการได้เนื่องจากวันครบกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้มีการกระจายตัว ภาระหนี้ดังกล่าวมีแนวโน้มว่าจะได้รับการรีไฟแนนซ์ผ่านการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ และใช้วงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินเป็นแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม ตั้งแต่ต้นปีบริษัทได้ออกหุ้นกู้ใหม่ไปแล้วประมาณ 1.7 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวในการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกครั้งภายในสิ้นปี 2568
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงการปรับตัวของยอดจัดเก็บเงินสดและผลกำไรที่ช้ากว่าที่คาดไว้ แม้ว่าทริสเรทติ้งจะคาดว่าผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่ยังคงมีความเสี่ยงด้านลบจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและภาวะชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับกลับมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” หากผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตามที่คาดไว้ ในขณะที่ภาระหนี้สินทางการเงินยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงกว่าระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ
ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลง หรือภาระหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นเกินกว่าสมมติฐานกรณีพื้นฐาน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
– เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 26 ธันวาคม 2567
– เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงิน, 25 กันยายน 2567
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon