LPN แอล ดับเบิลยู เอสฯ คาดตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง 2568 ยังชะลอตัว

17
 
มิติหุ้น – แอล ดับเบิลยู เอสฯ คาดตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัว ผลจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากผลกระทบมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา กำลังซื้อภายในประเทศชะลอตัวลง สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มลดลง และมีมาตรการผ่อนคลาย LTV และ ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองอยู่ที่ 0.01% ก็ตาม
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ว่า ยังคงมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว เป็นผลมาจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยที่อัตรา 36% ซึ่งจะมีผลวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่ำกว่า 2% จากเดิมที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบโตที่
2.7-3%
“การที่เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตที่ต่ำ ทำให้รายได้และกำลังซื้อของประชากรลดลง ผนวกกับสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ไปจนถึงสินเชื่ออุปโภคและบริโภค ส่งผลกระทบโดยตรงกับกำลังซื้อที่อยู่อาศัย ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะมีแนวโน้มลดลง และมีมาตรการผ่อนคลาย อัตราส่วนการให้สินเชื่อซื้อบ้านโดยเทียบกับมูลค่า (Loan to Value: LTV) รวมทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง มาอยู่ที่ 0.01% ก็ยังไม่สามารถที่จะกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับคืนมาได้ เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังกังวลรายได้ในอนาคต ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ที่เป็นภาระหนี้ระยะยาวออกไปก่อน” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้คาดว่า ปี 2568 จะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ลดลงทั้งมูลค่าและจำนวน เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จะชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงในการเปิดตัวโครงการใหม่แล้วจะขายไม่ได้ตามแผน แต่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ไปมุ่งเน้นที่การเร่งระบายสินค้าคงเหลือที่ยังคงมีอยู่เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และ ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายในการถือครองทรัพย์สินแทน ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่ปรับตัวลดลงทั้งจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการคิดเป็นสัดส่วน 54% และ 46% ตามลำดับเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2567 นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
ครึ่งปีแรกจำนวนหน่วยเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 54%
จากผลการสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ของ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอสฯ พบว่า มีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) ทั้งสิ้น 104 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 14,942 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 109,220 ล้านบาท ลดลง 42%, 54%, และ 46% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโครงการ 182 โครงการ จำนวน 32,675 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 201,517 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567
โดยเป็นการเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จำนวน 23 โครงการ จำนวน 7,393 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 22,956 ล้านบาท ลดลง 30%, 45% และ 56% ตามลำดับ จากจำนวนโครงการเปิดใหม่ 33 โครงการ จำนวน 13,377 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 51,802 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 3.10 ล้านบาทต่อหน่วย ลดลง  20% จากราคาขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดตัวในระยะเดียวกันของปี 2567 ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ 3.87 ล้านบาทต่อหน่วย
ในขณะที่การเปิดตัวบ้านพักอาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 81 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 7,549 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัวรวม 86,264 ล้านบาท ลดลง 46%, 61%, และ 42% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ 149 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัว 19,298 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 149,715 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยที่เปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 11.42 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยที่เปิดตัวใหม่ในข่วงครึ่งแรกของปี 2567 ที่อยู่ที่ 7.75 ล้านบาทต่อหน่วย เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีการเปิดตัวบ้านพรีเมี่ยมที่ระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทต่อหน่วย ในมูลค่าที่สูงขึ้นมากกว่าระยะเดียวกันของปี 2567
จากผลการสำรวจของ แอล ดับเบิลยู เอสฯ พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีการเปิดตัวบ้านระดับพรีเมี่ยม ที่ราคาเกิน 10 ล้านบาท จำนวน 48 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วย 2,690 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 63,444 ล้านบาท ลดลง 9.4%, 26%, และ 22% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับ จำนวนการเปิดตัวโครงการ 53 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัว 3,656 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัว 80,892 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพรีเมี่ยมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 23.58 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 6.6% จากราคาขายเฉลี่ยของบ้านพรีเมี่ยมในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ 22.12 ล้านบาทต่อหน่วย
ในขณะที่มีการเปิดตัวบ้านพักอาศัยในระดับราคาที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อหน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จำนวน 33 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 4,859 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ 22,820 ล้านบาท ลดลง 66%, 69%, และ 67% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการที่เปิดตัว 96 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 15,642 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการเปิดตัวใหม่รวม 68,823 ล้านบาท ในระยะเดียวกันของปี 2567 โดยที่ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยระดับราคาที่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 4.69 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 6.83% จาก ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 4.39 ล้านบาทต่อหน่วย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
 
หลักสี่-แบริ่ง-สาธุประดิษฐ์ กำลังซื้อสูง
ส่วนทำเลที่มีกำลังซื้อสูง จากผลการสำรวจของ แอล ดับเบิลยู เอสฯ พบว่า สำหรับอาคารชุดพักอาศัยที่เปิดตัวใหม่ในช่วงไตรมาสสองของปี 2568 โครงการในทำเลหลักสี่-แจ้งวัฒนะ มีกำลังซื้อสูง โดยโครงการอาคารชุดที่เปิดตัวในทำเลดังกล่าวมียอดขาย ณ วันเปิดตัวสูงถึง 40% จากจำนวนหน่วยที่เปิดขาย 328 หน่วย ตามมาด้วยทำเลติวานนท์ ที่มียอดขาย ณ วันเปิดตัวที่ 30% จากจำนวนหน่วยเปิดตัว 154 หน่วย
ในขณะที่ทำเลที่ขายดีสำหรับบ้านพักอาศัยที่ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาสสองของปี 2568 ได้แก่ ทำเล แบริ่ง-วัดด่าน ที่ขายได้ 51 หน่วย ณ วันเปิดตัว จากจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 222 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 23%ของจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งหมดในทำเลนี้ ตามมาด้วย ปทุมธานี โดยสามารถขายได้ 49 หน่วย จากจำนวนหน่วยเปิดตัว 288 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 17% ของหน่วยเปิดตัวทั้งหมดในทำเลนี้
สำหรับบ้านที่ระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท ทำเลวงแหวน-บางนา มีจำนวนหน่วยที่ขาย ณ วันเปิดตัวได้สูงสุดในช่วงไตรมาสสองของปี 2568 โดยมีจำนวนหน่วยที่ขายได้ 23 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 30% จากจำนวนหน่วยที่เปิดขาย 76 หน่วย เป็นบ้านแบบบ้านแฝด ที่ระดับราคา 10-30 ล้านบาทต่อหน่วย ตามมาด้วย ทำเลสาธุประดิษฐ์ ที่สามารถขายได้ 20 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 45% ของจำนวนหน่วยเปิดตัว 44 หน่วย โดยเป็นบ้านในแบบทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคา 10-30 ล้านบาท บ้านแฝดและบ้านเดี่ยวที่ระดับราคามากกว่า 50 ล้านบาท
“โดยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การเปิดตัวโครงการใหม่ชะลอตัวลงด้วยปัจจัยหลายประการทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมไปถึงสถานการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชะลอแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาสสองของปี โดยไม่มีการเปิดตัวโครงการอาคารชุดใหม่เลยในเดือนเมษายน หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว และเริ่มกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่ในเดือนพฤษภาคม และ มิถุนายน ถึงแม้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จะเร่งเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แต่โดยภาพรวมแล้วในปี 2568 การเปิดตัวโครงการใหม่มีแนวโน้มที่จะน้อยกว่า ปี 2567 หรือไม่ก็ใกล้เคียงกับปี 2567” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon