THCOM รายงานผลประกอบการQ2/68

28

มิติหุ้น – บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (บริษัท หรือ ไทยคม”) ผู้นำธุรกิจดาวเทียมแห่งเอเชียและผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีอวกาศ รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2568

รายได้จากการขายและการให้บริการในไตรมาส 2/2568 จำนวน 535 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 35 ล้านบาท โดยเติบโตขึ้น 7.0% จากรายได้จำนวน 500 ล้านบาทในไตรมาส 1/2568 (QoQ) การเพิ่มขึ้นของรายได้นี้เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ของโครงการของบริษัท ได้แก่ รายได้จากโครงการควบคุมดาวเทียมสำหรับดาวเทียมไทยคม และไทยคม จากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (“NT”) ซึ่งบริษัทเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2568 เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับปัจจัยหนุนจากการทยอยกลับเข้ามาของรายได้จากโครงการ USO ระยะที่ ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.”) อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2567 (YoY) รายได้จากการขายและการให้บริการปรับตัวลดลง 16.2% เกิดจากการสิ้นสุดของโครงการ USO ระยะที่ 2

ในไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจ Space Tech ผ่านโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตรให้แก่สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.”) และโครงการโดรนให้แก่สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ (“GISTDA”) รวมถึงความคืบหน้าของโครงการ ‘CarbonWatch’ ผ่านการร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของประเทศ ได้แก่ GGC, CPAC, บริษัทในเครือ SCG และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของบริษัทในการขยายฐานรายได้อย่างต่อเนื่องและการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 2/2568 บริษัทสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงาน¹ จำนวน 14 ล้านบาท สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะธุรกิจด้านดาวเทียม บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่รวมธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมและส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจโทรคมนาคมจำนวน 38 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติ 24 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจหลัก

บริษัทมีผลขาดทุนส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 2/2568 จำนวน 207 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยจากอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในไตรมาส 2/2568 โดยสถานการณ์การแข็งค่าของค่าเงินบาทดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก รวมถึงบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากต่างประเทศ บริษัทตระหนักถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน  และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบ  เช่น การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ 

สำหรับธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์ในต่างประเทศ ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในการร่วมค้าปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ มหาชน (“LTC”) มีกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการปรับโครงสร้างราคาค่าบริการโทรคมนาคมของกระทรวงคมนาคมและการสื่อสาร ทั้งนี้ แม้ว่าสกุลเงินกีบจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทยังคงรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้า เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เกิดจากดอกเบี้ยจ่ายที่ บริษัท เชนนิงตัน อินเวสเม้นท์ส พีทีอี จำกัด อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งขาดทุนปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งลดลงมากถึง 78.0% เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าในไตรมาส 2/2567 (YoY) จำนวน 41 ล้านบาท และลดลง 66.7% เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าในไตรมาส 1/2568 (QoQ) จำนวน 27 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจำนวน ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567

บริษัทและ AIS ได้ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ไทยในการป้องกันชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สถานการณ์ชายแดนมีความอ่อนไหวและอยู่ภายใต้การติดตามอย่างใกล้ชิดจากทุกภาคส่วน ความร่วมมือนี้มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านการสื่อสารในพื้นที่ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดส่งและติดตั้งอุปกรณ์ดาวเทียมให้กับกองทัพภาคที่ เพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตามแนวตะเข็บชายแดนได้อีกด้วย

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon