SCB FM มองเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อจากการลดดอกเบี้ยของ Fed และแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่เอเชีย หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงแรง

27

มิติหุ้น – กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า เงินบาทกลับมาแข็งค่าหลังเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ อ่อนแอกว่าคาดมาก ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเร็ว ในระยะต่อไป มองว่าบาทจะยังแข็งค่าต่อจาก 1การลดดอกเบี้ยของ Fed ที่จะทำให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า และ 2เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจไหลเข้าเอเชีย อย่างไรก็ดี บาทน่าจะแข็งค่าไม่เยอะ เนื่องจากเงินทุนที่ไหลออกจากสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณชะลอลง อีกทั้ง ความไม่แน่นอนของนโยบาย Tariffs ยังมีอยู่ โดยทรัมป์อาจกลับมาขึ้นภาษีอีกได้ในไตรมาส 4 เป็นต้นไป จึงมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วง 1 เดือนหน้า ที่ราว 32.00-32.50

นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชนเปิดเผยว่า หลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 19% พบว่าเงินบาทอ่อนค่าเพียงเล็กน้อยตามที่ได้ประเมินไว้ โดยเงินบาทอ่อนค่าเพียงราว 10 สตางค์ ซึ่งน้อยกว่าในรอบก่อน ที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% ซึ่ง Reaction ของเงินบาทต่อมาตรการภาษีนำเข้ารอบนี้มีน้อย เพราะตลาดได้คาดการณ์ไว้แล้ว และอัตราภาษีที่ถูกเรียกเก็บอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำและใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนประเด็นความขัดแย้งกับกัมพูชานั้น ล่าสุดตลาดได้มองข้ามไปแล้วหลังไทยมีการเจรจาหยุดยิงไป แม้การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่ก็เป็นจังหวะให้ผู้ส่งออกได้ขาย USDTHB ตามที่ได้แนะนำไว้ในรอบที่แล้ว

อย่างไรก็ดี ล่าสุดดงินบาทกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง หลังเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ออกมาแย่ลงและแย่กว่าที่ตลาดคาด ทำให้นักลงทุนมองว่า Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มขึ้น และอาจลดได้ตั้งแต่เดือน ก.ย. (ในการประชุมครั้งถัดไป) ซึ่งเร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ จึงทำให้ US Treasury yields ปรับลดลงแรง (ราว 20-30 bps ทั้งใน Yields สั้นและ Yields ยาว) และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเร็ว เงินบาทกลับมาแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่นในภูมิภาค รวมถึงเงินยูโรและเงินเยนก็แข็งค่าเทียบต่อดอลลาร์เช่นกัน สำหรับปัจจัยอื่นที่อาจกระทบเงินบาทอีกคือ ราคาทอง และราคาน้ำมัน โดยความเสี่ยงภูมิศาสตร์โลก (Geopolitics) กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหลังมีการโต้เถียงระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และอดีตประธานาธิบดีรัสเซียเมดเวเดฟผ่านสื่อออนไลน์ ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น ส่วนการประชุม OPEC+ ล่าสุดที่มีประกาศว่าจะขุดเจาะน้ำมันดิบเพิ่มในเดือนหน้า ก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลง ซึ่งราคาทองคำที่สูงขึ้นและน้ำมันดิบลดลง ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า

ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า เงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อไปได้ มองกรอบระยะสั้นราว 32.00-32.50 เนื่องจาก 1) สหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า (Tariffs) มากกว่าประเทศอื่น เพราะ Tariffs ถูกเรียกเก็บเป็นวงกว้าง จึงทำให้สหรัฐฯ ต้องจ่ายราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ Term of trade (ToT) ของสหรัฐฯ ปรับแย่ลง (ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น มากกว่าราคาสินค้าส่งออก) ทำให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง เพราะ ToT ที่แย่ลงทำให้รายได้ของสหรัฐฯ น้อยลง กดดันดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะสั้นของสหรัฐฯ ให้ปรับลดลง 2) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่องและมากกว่าธนาคารกลางอื่น ๆ จึงทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อาจแคบลง ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลักอื่น เช่น ยูโร 3) เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าเอเชียต่อได้ จากเลขเงินเฟ้อที่ยังต่ำและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่อได้ (ทำให้มี capital gains จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาล) นอกจากนี้ ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลกเริ่มลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงของเอเชีย

ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทในครึ่งปีหลังจะน้อยลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก กรอบปลายปีที่ราว 31.50-32.50 เนื่องจาก 1เงินยูโรมีแนวโน้มแข็งค่าน้อยลง ทำให้ดอลลาร์อาจอ่อนค่าไม่มาก เพราะเงินทุนที่ไหลออกจากสหรัฐฯ เข้ายุโรปเริ่มมีสัญญาณชะลอลง 2ความไม่แน่นอนของนโยบาย Tariffs ยังมีอยู่ โดยทรัมป์อาจกลับมาขึ้นภาษีอีกได้ในไตรมาส 4 เป็นต้นไป หากเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่แย่ลงมาก เพราะจะเป็นช่วงที่ผ่านพ้น High season ของการค้าโลกไปแล้ว ภาษีจึงอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยลง 3ในระยะยาว หากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดสหรัฐฯ กลับมาสูงขึ้นได้ ซึ่งจะกลับมาส่งผลดีต่อเงินดอลลาร์

สำหรับลูกค้าที่รอให้เงินบาทกลับไปอ่อนค่าแรง จะต้องรอปัจจัยเสี่ยงที่ไม่อยู่ในกรณีฐาน เช่น 1เลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาดีกว่าตลาดคาด ทำให้ตลาดอาจ price-out โอกาสเกิด Recession ออกไปอีกครั้ง ส่งผลให้ US Treasury yields ปรับสูงขึ้น และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า จึงกดดันให้บาทอ่อน หรือ 2ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ทวีความรุนแรงขึ้น โดยล่าสุดทรัมป์ได้สั่งให้เคลื่อนเรือบรรทุกนิวเคลียร์เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีรัสเซียขู่ว่าการที่ทรัมป์เข้ามาแทรกแซงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อาจนำไปสู่สงครามได้ ซึ่งหากความตึงเครียดเพิ่มขึ้นหรือเกิดการโจมตีขึ้น ก็จะทำให้นักลงทุนโลกเกิด Risk-off และเทขายสินทรัพย์เสี่ยง เงินภูมิภาครวมถึงเงินบาทจะอ่อนค่าได้

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชนเปิดเผยว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับลดลงแรง หลังเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าคาดมาก โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ค. ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง เลขการจ้างงานเดือน มิ.ย. และ พ.ค. ยังถูกปรับลดลง (revised down) ซึ่งเหนือความคาดหมายไปมาก ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอลงกว่าที่ Fed ประเมิน ซึ่งจะทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น โดยมีโอกาสเริ่มลดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ และอีกครั้งในเดือนธันวาคม ในขณะที่ปีหน้าอาจลดดอกเบี้ยต่อได้อีก 2-3 ครั้ง เพื่อเข้าสู่ Terminal rate ที่ราว 3.25-3.50%

ในระยะต่อไป US yields มีแนวโน้มลดลง และ Curve มีแนวโน้มชัน (Steepen) ขึ้น เพราะ 1เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงตามลำดับ โดย GDP ปี 2025 อาจขยายตัวเพียง 1.6-1.7% ทำให้ Fed น่าจะลดดอกเบี้ยได้ในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. ตามคาด และ Terminal rate ที่อาจต่ำลงเช่นกัน 2) มีแรงกดดันทางการเมืองต่อ Fed โดยทรัมป์พยายามเร่งการแต่งตั้งผู้ว่าการ Fed คนใหม่ ซึ่งอาจมีนัยต่อการดำเนินนโยบายของคณะกรรมการให้ลดดอกเบี้ยง่ายขึ้น และ 3สหรัฐฯ มีแนวโน้มจัดเก็บรายได้จากภาษีนำเข้าได้มากขึ้น โดยข้อมูลล่าสุด (คำนวณจากอัตราภาษีที่เคยจัดเก็บในเดือนก่อน ก่อนที่จะประกาศขึ้นภาษีรอบล่าสุด) พบว่า Effective tariffs rate อยู่ที่ราว 10% ซึ่งจะเพิ่มขึ้นไปที่ราว 15% หลังประกาศภาษีรอบล่าสุด ทำให้รัฐจะจัดเก็บรายได้มากขึ้น โดยอาจสูงกว่า $200-250 bn ต่อปี และจะลดความเสี่ยงเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ทำให้แรงกดดันด้านสูงต่อ Yields ลดลง

สำหรับมุมมองตลาดดอกเบี้ยไทย ผู้ว่าฯ ธปท. ท่านใหม่ยังมีมุมมองว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นสิ่งจำเป็น แม้ไทยจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ แล้วก็ตาม จึงมองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 รวมกัน 2 ครั้ง โดยหาก กนง. ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ส.ค. นี้ (ขณะนี้ตลาดให้โอกาสราว 70%) จะทำให้ TH Govt bond yields ปรับลดลงอีกได้ แต่หาก กนง. ยังไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ ก็จะเป็นจังหวะให้นักลงทุน Receive THOR OIS 5ที่ระดับราว 1.32% หรือสูงกว่าได้ สำหรับความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่าไม่ส่งผลต่อ TH Government bond yields มากนัก และไม่เห็นการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายจากตลาดบอนด์ไทยมีนัยสำคัญ

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon