มิติหุ้น – ในช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน เมื่อลูกกำลังจะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย คำถามที่ผู้ปกครองหลายคนต้องเผชิญคือ “จะทำอย่างไรให้ลูกได้เรียนในสถาบันที่ดีที่สุด?” หากเป้าหมายคือมหาวิทยาลัยระดับโลก นี่คือประเด็นหลักที่ คุณภานุวัฒน์ เหลืองรัชนี ผู้อำนวยการ คริมสัน เอ็ดดูเคชั่น ประเทศไทย (Crimson Education) สถาบันชั้นนำด้านการเตรียมความพร้อมและให้คำปรึกษาเพื่อการศึกษาต่อระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานมากกว่า 27 สาขาทั่วโลก ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่อาจเปลี่ยนมุมมองของผู้ปกครองได้อย่างมีนัยสำคัญ
“สิ่งแรกที่ผู้ปกครองควรปฏิบัติคือ การรับฟังและสังเกต” คุณภานุวัฒน์กล่าวถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจในตัวตนของลูก “มหาวิทยาลัยชั้นนำไม่ได้แสวงหาเพียงนักเรียนที่มีผลการเรียนเป็นเลิศ แต่พวกเขามองหาผู้ที่มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีศักยภาพในการประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพที่เลือก”
ความสำเร็จของ Crimson Education ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่สะท้อนผ่านผลลัพธ์ที่จับต้องได้ สถิติล่าสุดแสดงให้เห็นว่านักเรียนภายใต้การดูแลของ Crimson มีอัตราการตอบรับเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำสูงกว่าผู้สมัครทั่วไปถึง 4.5 เท่า ซึ่งตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของทีมงาน ทั้งในศักยภาพของเด็กแต่ละคน และหลักเกณฑ์การคัดเลือกของมหาวิทยาลัยระดับโลก
จากการเก็บข้อมูลสถิติถึงปีที่ผ่านมา Crimson Education สามารถพานักเรียนคว้าข้อเสนอเข้าศึกษาต่อจากมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Ivy League และ Oxbridge ได้ในจำนวนที่น่าทึ่ง จากรายงานที่ตรวจสอบโดยหนึ่งในบริษัทบัญชีระดับโลก “Big 4” ยืนยันว่า Crimson สามารถพานักเรียนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยระดับ Top ของโลกได้อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในความสำเร็จของ Crimson คือจำนวนข้อเสนอตอบรับการศึกษาต่อจากกลุ่มมหาวิทยาลัยระดับ Ivy League มากกว่า 1,000 ที่นั่ง ที่นักเรียนได้รับโอกาสในการไปศึกษาต่อในมหาลัยระดับโลกเช่น Stanford, MIT ,UPenn , Cornell, Columbia , Brown, Yale และ Harvard และอีกมากกว่า 2,000 ข้อเสนอตอบรับจาก กลุ่มมหาวิทยาลัย Top 20 ของสหรัฐ สำหรับในฝั่งของมหาลัยชื่อดังในประเทศอังกฤษ ทาง Crimson ยังได้รับการตอบรับมากกว่า 300 ข้อเสนอจาก Oxford และ Cambridge เป็นต้น นอกจากนี้ Crimson ยังมีข้อเสนอจำนวนมากจาก Top 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหราชอาณาจักร เช่น LSE, Imperial, UCL, King’s College London ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถที่โดดเด่นของทีมงานในการทำงานร่วมกับนักเรียนและผู้ปกครอง
การสร้างรากฐานที่มั่นคง: เข้าใจตัวตนของนักเรียน
คุณภานุวัฒน์ เปรียบการสร้างอนาคตของลูกกับการสร้างบ้าน “เราอาจมีภาพที่ชัดเจนของบ้านในฝัน แต่บางครั้งกลับละเลยโครงสร้างและวัสดุหลักที่จำเป็นต่อความแข็งแรงและความปลอดภัย เช่นเดียวกับการผลักดันบุตรหลานสู่เป้าหมาย เพราะหากไม่เข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของลูก ก็เปรียบเสมือนการสร้างบ้านบนรากฐานที่ไม่มั่นคง” ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจนักเรียนแต่ละคนก่อนที่จะวางแผนการศึกษา
ตลอดกว่า 10 ปีที่ Crimson ได้ดำเนินงานในประเทศไทย จุดแข็งที่เห็นได้ชัดคือ นักเรียนไทยมีความโดดเด่นด้านวิชาการ ทั้งเรื่องความขยันและผลการเรียนที่ดี แต่จุดที่เป็นข้อจำกัดคือ ทักษะที่ไม่ใช่เชิงวิชาการ (Soft Skills) อาทิ การแสดงออก ทักษะการวิจัย และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาใช้ในการพิจารณา ขณะเดียวกันสังคมไทยยังมีข้อได้เปรียบคือ ความใกล้ชิดของครอบครัว ผู้ปกครองมีความใส่ใจบุตรหลาน ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่างผู้ปกครอง นักเรียน และ Crimson เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์เฉพาะบุคคล และทีมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก
Crimson ใช้ระบบ ‘Personalized Strategy’ ซึ่งเป็นกลยุทธ์เฉพาะบุคคลที่ออกแบบมาสำหรับนักเรียนแต่ละคน คุณภานุวัฒน์อธิบายถึงกระบวนการว่า “เราเริ่มต้นด้วยการพูดคุยเชิงลึกกับนักเรียน เพื่อทำความเข้าใจความชอบ ความสนใจ และความใฝ่ฝัน จากนั้นจึงประเมินทักษะในทุกด้าน และวางแผนเพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาด” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ Crimson วางแผนเส้นทางที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับนักเรียนแต่ละคนได้
นอกจากนี้ ยังมีการคัดสรรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละด้าน ซึ่งถือเป็นข้อโดดเด่นของ Crimson โดยนักเรียนแต่ละคนจะได้รับดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมผู้เชี่ยวชาญประมาณ 6 ทีม ได้แก่
ทีมหลัก:
o Strategy Consultant: ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ ทำหน้าที่ให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ วางแผนเส้นทางการศึกษา การเลือกมหาวิทยาลัยและสาขาวิชา รวมถึงการช่วยนักเรียนค้นหาตัวตนที่แท้จริง
o Application Consultant: ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนใบสมัครและเรียงความ (Essay & Personal Statement) ซึ่งจะเข้ามาช่วยดูแลด้านไอเดียของหัวข้อ การหาข้อมูล การเขียนเรียงความ รวมไปถึงการตรวจสอบและการแก้ไขเรียงความสำหรับใช้ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย
o Student Success Team: ทีมงานที่ให้การดูแลและสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมงสำหรับผู้ปกครองและนักเรียน
ทีมสนับสนุน:
o Test Prep Tutor: ติวเตอร์ที่จบจากจากมหาวิทยาลัยชั้นระดับโลกที่จะเข้ามาสอนเทคนิคการทำข้อสอบ รวมถึงการฝึกสัมภาษณ์
o Former Admissions Officer: อดีตเจ้าหน้าที่รับสมัครจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ให้มุมมองที่เป็นอิสระและการตรวจสอบใบสมัครเชิงเทคนิค พร้อมคำแนะนำแบบเจาะลึกสำหรับนักเรียนแต่ละคนพร้อมการรีวิวใบสมัครและโปรไฟล์โดยรวมเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับคำตอบรับจากมหาลัยระดับโลก
o Extracurricular Mentor: ผู้ดูแลด้านกิจกรรมนอกหลักสูตร ให้คำแนะนำและช่วยนักเรียนในการริเริ่มและสร้างโปรเจคตามความสนใจของนักเรียนและเกี่ยวข้องกับสาขาที่ต้องการศึกษาต่อ เช่นนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อทางด้านคอมพิวเตอร์ ไอที ทางทีมงานจะช่วยแนำนำและพัฒนา Application, Website หรือการสร้างโปรเจคตามความถนัดของนักเรียนแต่ละคน
คุณ Matthew Ding หนึ่งใน Strategy Consultant ของ Crimson Education กล่าวย้ำว่า “การสนับสนุนที่ถูกต้องและเหมาะสมจากผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญ คิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของความสำเร็จของนักเรียน การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในทิศทางที่ถูกต้องจะช่วยให้นักเรียนมีกำลังใจและแรงผลักดันในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน” คุณภานุวัฒน์เสริมว่า การคัดเลือกทีมงานทีมีประสบการณ์ตรงจากมหาลัยชั้นนำจากทั่วโลกเพื่อมาทำงานร่วมกับผู้ปกครองและนักเรียนมีความสำคัญมาก โดยจะมองหาผู้ที่มีประสบการณ์ตรง ภูมิหลัง ความถนัด สาขาและมหาลัยที่จบรวมถึงความสนใจที่สอดคล้องกับนักเรียน เพราะเชื่อว่าคำแนะนำที่ดีที่สุดต้องมาจากผู้ที่เคยศึกษาในสถาบันเป้าหมายและผ่านเส้นทางนั้นมาก่อน สิ่งนี้สะท้อนถึงกระบวนการคัดสรรบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ตรงอย่างแท้จริง
Crimson มีกรณีศึกษาที่ให้เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม หนึ่งในความภาคภูมิใจคือ นักเรียนอยู่ในระบบการศึกษาไทย แต่ด้วยความสนใจในเรื่อง Recycling โดย Crimson ช่วยพัฒนาโครงการวิจัยจนประสบความสำเร็จ และนำไปสู่การได้รับการตอบรับเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัย Cornell ในสหรัฐอเมริกา และอีกกรณีที่น่าประทับใจคือ นักเรียนมีความห่วงใยคุณย่าที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ จากการพูดคุยพบว่านักเรียนต้องการหาวิธีช่วยลดความกังวลให้กับครอบครัว จึงได้พัฒนา QR Code สำหรับติดเสื้อผู้ป่วยอัลไซเมอร์ โดยทีมได้ร่วมกันหาแนวทางที่เป็นไปได้และประสานงานกับมูลนิธิเพื่อนำไปใช้จริง โครงการนี้ไม่เพียงช่วยให้เขาได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน แต่ยังสร้างประโยชน์ให้สังคมอีกด้วย
ความสำเร็จเหล่านี้มาจากการค้นหาความหลงใหลที่แท้จริงของนักเรียนและพัฒนาต่อยอด ไม่ใช่เพียงแค่ทำกิจกรรมตามกระแสหรือเพื่อใส่ในใบสมัครเท่านั้น
การวางแผนเพื่ออนาคต: ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ยิ่งเพิ่มโอกาส
- สำหรับนักเรียนมัธยมต้น: วัยนี้ นักเรียนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบความต้องการของตนเอง เราจึงมุ่งเน้นการสำรวจความสนใจ โดยจะแนะนำกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น หากสนใจด้านหุ่นยนต์ เราจัดโครงการให้ทดลองประดิษฐ์และเขียนโปรแกรม หากสนใจอาชีพใด เราจัดให้มีการดูงานจริง และเปิดโอกาสให้ทำงานร่วมกับเพื่อนทั้งในประเทศหรือต่างประเทศที่มีความสนใจคล้ายกัน
- สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย: เมื่อนักเรียนรู้จักตัวเองมากขึ้น เรามุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะเฉพาะทาง หากสนใจวิชาเคมี เราจะส่งเสริมให้ทำการทดลองในห้องปฏิบัติการจริง หากสนใจด้านแฟชั่น เราช่วยสร้าง Portfolio ที่โดดเด่น และสำหรับผู้ที่สนใจด้าน STEM เราสนับสนุนให้เข้าร่วมการแข่งขัน Hackathon เพื่อสร้างประสบการณ์จริง
หัวใจสำคัญ: การรับฟังบุตรหลานอย่างแท้จริง
ข้อคิดสำคัญสำหรับผู้ปกครอง “สิ่งสำคัญที่สุด คือการรับฟังลูก สอบถามถึงสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข สังเกตสิ่งที่พวกเขาทำด้วยความกระตือรือร้นโดยไม่ต้องบังคับ การเข้าใจตัวตนของลูกคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยชั้นนำไม่ได้มองหาเพียงคะแนนสอบที่ดีเลิศ แต่ต้องการนักศึกษาที่มีความสมดุล มีทักษะการทำงานเป็นทีม กล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ มีทักษะการสื่อสารที่ดี มีภาวะผู้นำ และมีทักษะการวิจัยค้นคว้า – คุณสมบัติเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้บุตรหลานโดดเด่นและเป็นที่ต้องการของมหาวิทยาลัยระดับโลก”
คุณภานุวัฒน์ แนะนำว่า “ยิ่งเริ่มต้นเตรียมตัวเร็วเท่าไร โอกาสประสบความสำเร็จยิ่งสูงขึ้น ซึ่งนักเรียนและผู้ปกครองที่มีเป้าหมายในการส่งลูกไปศึกษาต่อในต่างประเทศอย่างชัดเจนส่วนใหญ่จะเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่อายุ 13-14 ปีเป็นต้นไป หากเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ โอกาสก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เรามีระบบวัดผลที่โปร่งใสและชัดเจน โดยกำหนดเป้าหมายรายสัปดาห์และรายเดือนของแต่ละโปรเจคหรือแผนงาน พร้อมระบบการตรวจสอบความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ผู้ปกครองสามารถติดตามได้ทุกขั้นตอนผ่าน Crimson Application ระบบนี้ไม่เพียงช่วยให้นักเรียนสามารถปฏิบัติตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปกครองที่ต้องการติดตามความก้าวหน้าของลูกได้อีกด้วย”
สำหรับครอบครัวที่มีลูกกำลังเตรียมตัวสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในรอบนี้ คุณภานุวัฒน์ย้ำว่ายังไม่สายเกินไป “สำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวในช่วงโค้งสุดท้าย เรายังคงสามารถให้ความช่วยเหลือได้ แต่ต้องเริ่มต้นทันที อย่างน้อยต้องใช้เวลา 6-12 เดือนในการเตรียมความพร้อม”
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon