Pi Daily ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มเข้าสู่ช่วงพักฐานรอดู Jackson Hole ส่วนหุ้นไทยยังมีแนวโน้มปรับลงเมื่อผสานกับบาทที่อ่อนค่าจะยิ่งกดดันกระแสเงินทุน แม้ปรับฐานมาบ้างแล้วแต่ยังไม่น่าสะสม

15
มิติหุ้น – ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 10.45 จุด (+0.02%) ขณะที่ Nasdaq ปรับลงค่อนข้างหนักจากแรงขายหุ้น NVIDIA โดยนักลงทุนรอดู Jackson Hole ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.2% นักลงทุนคาดการณ์ว่าเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับยูเครนอาจนำไปสู่การคว่ำบาตรรัสเซีย
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ เผยตัวเลขภาคอสังหาฯประกอบไปด้วยใบขออนุญาตก่อสร้างและยอดสร้างบ้านใหม่พบว่ายอดสร้างบ้านใหม่รายงานที่ 1.43 ล้านหลังคา ดีกว่า Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 1.29 ล้านหลังคาเรือน ส่วนใบขออนุญาตก่อสร้างรายงานที่ 1.35 ล้านใบอนุญาตแต่ใกล้เคียงกับที่ Bloomberg คาดการณ์ไว้ แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขค่อนข้างผสมผสานนักลงทุนจึงมิได้ให้น้ำหนักมากนัก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เคลื่อนไหวทรงตัว แต่ทิศทางเริ่มปรับขึ้นพร้อมกับ Dollar Index ที่เริ่มกลับมาแข็งค่า CME FED Watch ล่าสุดให้น้ำหนัก 86% ที่ FED จะลดดอกเบี้ยเดือนกันยายนและไปลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคม มุมมองค่อนข้างเข้มงวดขึ้นเพราะก่อนหน้าเชื่อว่าจะลดดอกเบี้ยทั้งหมด 3 ครั้ง
จากนี้รอติดตามการประชุม Jackson Hole ในช่วงปลายสัปดาห์อาจมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ย ทำให้ตลาดหุ้นช่วงนี้จะค่อนข้างเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าตลาด Price In ปัจจัยด้านเจรจาการค้าไปแล้ว สำหรับปัจจัยในประเทศยังไม่มีอะไรที่มีนัยยะสำคัญแต่ก็เริ่มเห็น SET INDEX ปรับตัวลงมาแล้ว 2.4% จากจุดสูงสุดเดิม ซึ่ง Price In ปัจจัยบวกเจรจาการค้าไปแล้วประกอบกับ Valuation เริ่มสูงผสานกับเผชิญแรงกดดันจากกระแสเงินทุนต่างชาติเริ่มขายสุทธิ ขายสุทธิมาแล้ว 4 วันทำการติดต่อและมีแนวโน้มจะขายต่อเพราะทิศทางเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่า โดยตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งในแดนลบอาจสร้างแรงกดดันต่อหุ้นไทยในวันนี้
คืนนี้รอติดตามสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ -0.8 ล้านบาร์เรล วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1220 – 1240 มีความเสี่ยงปรับลงต่อเนื่องรับแรงกดดันจากตลาดหุ้นเอเชียที่แกว่งแดนลบ พร้อมแนะจับตาการขายของนักลงทุนต่างชาติที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนแม้จะแนะลดพอร์ตการลงทุนไปก่อนหน้าแต่การปรับฐานลงมาเพียง 2.4% ยังไม่จูงใจสำหรับการเข้าสะสม แต่หากเน้นลงทุนระยะสั้นเน้นเลือกหุ้นปันผลสูง (ระหว่างกาล) ตัวที่น่าสนใจได้แก่ SCB, TACC และด้วยหุ้น Tech ในสหรัฐฯ ปรับลงอาจสร้างแรงกดดันกับหุ้นอิเล็กทรอนิกส์อาจเพิ่มความระมัดระวัง ส่วนหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจได้แก่การเงิน (MTC, SAWAD) ค้าปลีก (BJC, CPALL, HMPRO)
SCB (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 137.00 บาท)
กำไรสุทธิใน 2Q25 ออกมาแข็งแกร่งที่ 12.8 พันลบ. (+27.7% YoY, +2.3% QoQ) ด้านงบดุลแข็งแกร่ง NPL ratio ลดลงที่ 3.3% และ Coverage ratio เพิ่มเป็น 158.7% กลยุทธ์ใน 2H25 เน้นดูแลคุณภาพสินเชื่อ และควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อลด Cost to income ratio (CIR) ชดเชยผลกระทบจากสินเชื่อที่ชะลอตัว
TACC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท)
รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 79 ล้านบาท (+15%YoY,+8%QoQ) ทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง ได้รับผลดีจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 16%YoY,9%QoQ จากการเข้าสู่ฤดูร้อนและการออกสินค้าใหม่ที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง แม้กำไรขั้นต้นจะลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นก็ตาม

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon