มิติหุ้น – วันที่ 21 สิงหาคม 2568 – กระทรวงพาณิชย์ โดย สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับผู้แทนการค้าไทย จัดงาน ‘Voice x Vision: Thai-EU FTA in Focus’ (Stakeholder Consultation Workshop: Thai-EU FTA) เวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย–สหภาพยุโรป โดยมุ่งเน้นการหารือเชิงนโยบายด้านการเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน ครอบคลุมทุกมิติ ผ่านการมีส่วนร่วมจากภาครัฐ เอกชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ ก่อนเดินหน้าการเจรจาฯ รอบที่ 7 ในเดือนกันยายนนี้
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “วิสัยทัศน์และบทบาทของการค้าไทยในเวทีโลก” โดย การเจรจา FTA ไทย–EU เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญลำดับต้นของรัฐบาล เนื่องจาก EU เป็นตลาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมีมาตรฐานสูง ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสการค้าและการลงทุนให้กับไทยอย่างมหาศาล หากสามารถสรุปผลการเจรจาได้ภายในปี 2568 จะเป็นหมุดหมายสำคัญของการค้าระหว่างประเทศของไทย
รัฐมนตรีพาณิชย์ กล่าวว่า “FTA ไทย–EU เดินหน้าไปไกลแล้ว เหลือเพียงประเด็นที่ต้องเร่งเจรจาให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว ซึ่งเวทีในวันนี้มีความสำคัญมากเพราะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้สะท้อนความเห็นอย่างรอบด้านเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อนำไปประกอบการกำหนดท่าทีของไทย” พร้อมยกตัวอย่างว่า ประเด็นการเจรจาที่ท้าทายและไม่เคยมีมาก่อน เช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ พลังงานและวัตถุดิบ รวมถึงกติกาใหม่ในเวทีการค้าโลก ล้วนต้องได้รับการหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกที่สมดุลที่สุด
นายจตุพร ยังได้เชื่อมโยงการเจรจา FTA เข้ากับ สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐกิจโลก และความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยอ้างอิงรายงาน Global Risks Report 2025 ของ World Economic Forum ที่ระบุว่า Climate Change คือความเสี่ยงอันดับหนึ่งในทศวรรษหน้า ซึ่งจะกระทบทั้งเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคงด้านอาหาร “เมื่อผมลงพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ เห็นชัดว่าผลไม้ เช่น มังคุด ออกผลเร็วกว่าปกติ 10 วันและราคาตกต่ำ สะท้อนผลกระทบที่ชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง นี่คือความท้าทายที่เราต้องเผชิญและเตรียมมาตรการรองรับควบคู่ไปกับการเจรจา FTA” รัฐมนตรีพาณิชย์ ยังกล่าวถึง ความจำเป็นในการขยายตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้สินค้าไทย โดยเฉพาะในภาวะที่การแข่งขันในตลาดเดิมรุนแรงขึ้น เช่น ข้าวไทยที่ต้องแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินเดีย พร้อมมอบ KPI ให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกเร่งหาตลาดใหม่ ผู้ประกอบการไทยต้องสร้างนวัตกรรม แบรนด์ และดีไซน์ เพื่อเพิ่มมูลค่าเสริมแต้มต่อของสินค้าไทยบนเวทีโลก
“การเจรจาครั้งนี้จะมีทั้งคนได้และคนเสีย แต่สิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวมและประชาชนเป็นหลัก ตั้งแต่เกษตรกร SMEs ไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ ต้องได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม และที่สำคัญคือสังคมไทยต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” นายจตุพร กล่าว
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การเจรจา FTA ไทย–EU ไม่ได้เป็นเพียงภารกิจของรัฐบาล แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ภาคเอกชนรายใหญ่ ตลอดจนภาคประชาสังคม การเปิดเวทีเช่นนี้ทำให้เสียงของทุกฝ่ายถูกสะท้อนเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างแท้จริง กระทรวงพาณิชย์จึงได้มอบหมายให้ ITD ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงข้อเสนอและความห่วงกังวลต่าง ๆ เพื่อให้การเจรจารอบที่ 7 สามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และที่สำคัญคือให้ประโยชน์ตกถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรม”
ด้าน นายวีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย ระบุว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักที่คณะผู้แทนการค้าไทยชุดปัจจุบันเดินหน้าคือการเร่งเปิดตลาดใหม่ ซึ่งปัจจุบันไทยกับสหภาพยุโรปอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับEU และเป็นที่คาดหวังของรัฐบาลไทยอย่างยิ่งว่า FTA ฉบับนี้จะช่วยเปิดประตูโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างมหาศาลท่ามกลางความผันผวนของการค้าโลกที่เป็นอยู่ในขณะเดียวกัน ไทยต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับประเด็นเจรจาที่มีความท้าทายและซับซ้อน อาทิ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา การนำเข้าสินค้าปศุสัตว์และสินค้าเกษตร รวมถึงกติกาใหม่ ๆ เช่น ดิจิทัลเทรดและอีคอมเมิร์ซ การหารือภายในประเทศอย่างรอบด้านและการสร้างเอกภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าใจทั้งโอกาส ต้นทุน และความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น และสามารถร่วมกันกำหนดแนวทางที่สร้างสมดุลต่อเศรษฐกิจไทย
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (จร.) เปิดเผยว่า การเจรจา FTA ไทย-EU ถือเป็นการสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ในการเพิ่มและสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุน โดยตลาด EU มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และมีสมาชิกถึง 27 ประเทศ ซึ่งหากการเจรจาเป็นไปตามเป้าหมายและคาดว่าเมื่อ FTA มีผลบังคับใช้ จะทำให้ไทยจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศทั้งจาก EU และประเทศอื่น ๆ ตามมา
ด้าน นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา เผยว่า ความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรปถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่มีความสำคัญสูงต่อยุทธศาสตร์การค้าของไทย การมี FTA จะช่วยลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสำคัญรวมถึงเปิดโอกาสให้บริการและการลงทุนของไทยเข้าถึงตลาดที่มีมูลค่าสูง อีกทั้งยังยกระดับศักยภาพของไทยในการเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้และแข่งขันได้บนเวทีการค้าระดับโลก เนื่องจากสหภาพยุโรปเป็นตลาดที่มีมาตรฐานเข้มงวดในด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ก้าวทัน ITD ในฐานะเวทีกลางด้านวิชาการและเป็น Think Tank ตามแนวทางการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์จึงได้จัดเวทีนี้ขึ้น เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน ครอบคลุม และนำไปสู่ประโยชน์ร่วมกันของผู้ประกอบการและสังคมไทยโดยรวม ตลอดจนประมวลเป็นข้อมูลเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนกระทรวงพาณิชย์ในการเจรจารอบต่อไป
นอกจากนี้ภายในงานยังจัดเวทีเสวนาพิเศษภายใต้สองหัวข้อสำคัญได้แก่ พลิกเกมเศรษฐกิจไทย: FTA ไทย-EU กับโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ และ การค้าอย่างเป็นธรรม สู่อนาคตที่ยั่งยืน: ข้อเสนอแนะจากเกษตรกร SMEs และภาคประชาสังคม พร้อมด้วยการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group Discussion) โดยมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจาก ITD เข้าร่วมรับฟังเสียงสะท้อนจากทุกภาคส่วนนอกจากนี้ยังมีการหารือประเด็นเชิงลึกอีก 3 บทสำคัญ ได้แก่ 1. การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ โดยกระทรวงการคลัง 2. ทรัพย์สินทางปัญญา โดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 3. พลังงานและวัตถุดิบ โดยกระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสรุปเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายและข้อสังเกตเชิงยุทธศาสตร์ เสนอแก่กระทรวงพาณิชย์สำหรับการเจรจาฯ รอบที่ 7 อีกด้วย
“การเจรจา FTA ไทย–EU ในครั้งนี้ หากประเทศไทยสามารถปิดดีลและบรรลุผลตามเป้าได้ภายในปี 2568 จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยในการลดอุปสรรคทางการค้าและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทยและเปิดประตูสู่ตลาดยุโรปอย่างยั่งยืน ซึ่งความตกลงนี้ไม่เพียงช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนขยายโอกาสทางการตลาดให้ผู้ประกอบการไทยทุกระดับ ตั้งแต่เกษตรกร SMEs ไปจนถึงธุรกิจรายใหญ่ ขณะเดียวกัน ITD พร้อมเดินหน้าทำหน้าที่เป็นเวทีกลางทางความคิด รวบรวมเสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน เพื่อประมวลเป็นข้อมูลเชิงนโยบาย สนับสนุนการเจรจาให้ตอบโจทย์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน” นายสุภกิจ กล่าวสรุป
สำหรับข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมอื่น ๆ ของ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.itd.or.th หรือช่องทาง https://www.facebook.com/itd.th
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon