มิติหุ้น – ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่าบริษัทค้าปลีกส่วนใหญ่ในกลุ่มที่ทำการศึกษา 8 บริษัท จะยังมีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ติดลบในเดือนส.ค.68 โดย SSSG ของ BigC, 7-Eleven, Lotus’s, CRC, และ GLOBAL น่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่ SSSG ของ Makro ค่อนข้างทรงตัว ส่วน SSSG ของ MegaHome และ DOHOME น่าจะลดลงต่อเนื่อง เพราะลูกค้าเข้ามาใช้บริการน้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ เชื่อว่า MOSHI น่าจะยังโดดเด่นที่สุดและคาดจะมี SSSG ประมาณ 7% ซึ่งสูงกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า SSSG ที่ดีขึ้นในเดือนส.ค.68 เกิดจาก “calendar effect” ไม่ใช่จากความสามารถในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือนส.ค.68 ไทยมีวันหยุดสุดสัปดาห์รวม 12 วัน เทียบกับเพียง 10 วันในเดือนส.ค. 67 ส่วนวันหยุดในเดือนก.ค. มี 10 วันเท่ากันในปี 67 และปี 68 โดยมองว่าสินค้าฟุ่มเฟือยได้ประโยชน์จากจำนวนวันหยุดที่เพิ่มขึ้นมากสุด เนื่องจากโดยปกติแล้วยอดขายช่วงวันหยุดมากกว่าช่วงวันธรรมดาถึง 10-20% เทียบกับยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มากกว่าเพียง 5-10%
โดยประมาณการว่า วันหยุดเพิ่ม 2 วัน ทำให้ SSSG ของผู้ค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้น 0.6-1.3% pts yoy, ผู้ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 0.3-0.6% pts yoy และร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้นมากกว่าเล็กน้อย เนื่องจากคาดว่าสาขาในแหล่งท่องเที่ยวและสถานีบริการน้ำมัน อาจมียอดขายช่วงวันหยุดพุ่งขึ้นถึง 20-30%
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ในเดือนก.ย.68 มีวันหยุดสุดสัปดาห์เพียง 8 วันเทียบกับปีที่แล้วที่มี 9 วัน มองว่าเป็นปัจจัยลบต่อการใช้จ่ายตามดุลยพินิจ และ sentiment ของกลุ่มค้าปลีก ขณะที่ผู้ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคน่าจะมี SSSG ค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากเทศกาลสารทจีนในปีนี้อยู่ในเดือนก.ย. (ปีที่แล้วอยู่ในเดือนส.ค.) และมองว่า CPAXT น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะยอดขายสินค้าอาหารมีสัดส่วน 36.8% ของยอดขายรวมในครึ่งปีแรก 68 (Makro 44.6%, Lotus’s 27.1%)
ฝ่ายวิเคราะห์ฯ มองว่า ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเกิดจากปัจจัยฤดูกาลและยังไม่ใช่การฟื้นตัว โดยหลายกรณีพบว่าการ เติบโตมาจากฐานที่ต่ำ ไม่ใช่จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่าอุปสงค์น่าจะยังเป็น L-shape (ทรงตัวหลังจากลดลง) ไม่ใช่การฟื้นตัวแบบ U-shape หรือ V-shape ซึ่งน่าจะทำให้ผลกำไรของผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่มีการเติบโตที่จำกัด
จึงยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มค้าปลีกไทย ขณะที่เลือก CPALL และ MOSHI เป็นหุ้นแนะนำ โดยมองว่า upside risk จะมาจากการบริโภคที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น ส่วน downside risk จะมาจากการบริโภคที่อ่อนตัวต่อเนื่องและความไม่แน่นอนทางการเมือง
ฝ่ายวิเคราะห์ฯ มองเชิงบวกต่อ CPALL เนื่องจากมีการประเมินมูลค่าน่าสนใจที่ P/E 14.7 เท่าในปี 68 (-1.2SD จากค่าเฉลี่ยสามปีที่ 21.6x) และมีแนวโน้มทำกำไรแข็งแกร่ง โดยกำไรสุทธิคาดจะเติบโตเฉลี่ย 12.8% CAGR ในปี 67-70 และยังมองว่า MOSHI น่าจะเป็นผู้ค้าปลีกรายเดียวในกลุ่มที่ศึกษา ซึ่งอาจมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากโมเมนตัม SSSG ที่แข็งแกร่งกว่าคาด
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon