มิติหุ้น – บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ผลิตพลังงานชั้นนำของประเทศไทย และบริษัท ดิจิทัล เอดจ์ (สิงคโปร์) โฮลดิ้งส์ จำกัด (Digital Edge) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำระดับเอเชีย ซึ่งได้ร่วมทุนในนาม บริษัท ดิจิทัล เอดจ์ บี.กริม (ไทยแลนด์) จำกัด ร่วมพิธีตอกเข็มฤกษ์ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกใน EEC พร้อมเดินหน้าก่อสร้างอย่างเต็มกำลัง ตั้งเป้าเปิดให้บริการเฟสแรกปลายปี 2569 เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับผู้ให้บริการ AI และ Cloud พร้อมตอบสนองความต้องการด้านประสิทธิภาพควบคู่กับการเติบโตอย่างยั่งยืน สนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็น Innovative Hub ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลังประกาศความร่วมมือในการร่วมลงทุนโครงการพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกล มูลค่าการลงทุนกว่า 24,520 ล้านบาท เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา บี.กริม เพาเวอร์ และ ดิจิทัล เอดจ์ ก็ได้ฤกษ์ลงเสาเข็มก่อสร้างโครงการอย่างเป็นทางการ ภายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดชลบุรี สำหรับเฟสแรกนี้เป็นการเริ่มต้นก่อสร้างศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาด 100 เมกะวัตต์ ซึ่งมีเป้าหมายจะเปิดให้บริการเฟสแรก 48 เมกะวัตต์ในไตรมาส 4 ปี 2569 โดยจะให้บริการครอบคลุมทั้งในส่วนของโลเคชั่นความหนาแน่นสูง การเชื่อมต่อระหว่างศูนย์ รวมถึงคลาวด์โซลูชันแบบผสมผสาน เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มไฮเปอร์สเกล และกลุ่มธุรกิจ AI รวมถึงองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ดิจิทัล พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับผู้ให้บริการ AI และ Cloud ที่ต้องการขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสมรรถนะสูงของประเทศไทย ตลอดจนเป็นมาตรฐานใหม่ด้านความยั่งยืนในภูมิภาค
ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “พิธีตอกเข็มฤกษ์โครงการพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกลในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการนำวิสัยทัศน์ของ บี.กริม เพาเวอร์ และ ดิจิทัล เอดจ์ มาสู่การลงมือจริง โดยโครงการนี้ไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก แต่ยังจะช่วยขับเคลื่อนอนาคตดิจิทัลของไทย และส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางดิจิทัลชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย”
ด้าน นายจอห์น ฟรีแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ดิจิทัล เอดจ์ กล่าวเสริมว่า “นี่ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของ ดิจิทัล เอดจ์ ในการร่วมกับ บี.กริม เพาเวอร์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะสามารถรองรับเทคโนโลยี AI ได้อย่างยั่งยืน ในระดับขนาดและความเร็วที่สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของลูกค้าและความต้องการของภูมิภาค ผมเชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นรากฐานสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริงของประเทศไทย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการด้าน AI และ Machine Learning ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว”
โครงการพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกล เริ่มต้นก่อสร้างอย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยการออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเป็นพิเศษ มีค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ต่ำ ตามมาตรฐานสากลของศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำของโลก โดยบริษัทและทีมที่ปรึกษาชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านดาต้าเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งนับเป็นมาตรฐานระดับโลกในการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า เพื่อมอบโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ และรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างมั่นคง โดยมีเป้าหมายจะเปิดให้บริการเฟสแรกในไตรมาส 4 ปี 2569 ด้วยการสนับสนุนจากพอร์ตพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ของ บี.กริม เพาเวอร์ เชื่อมั่นได้ว่า เมื่อแล้วเสร็จศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญที่ทำให้การพัฒนาและการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระดับไฮเปอร์สเกล (AI-at-scale) มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ยังถือเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับเลขสองหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุน สถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผู้ใช้งานทั่วโลก ทั้งนี้ พลังงานสะอาด ผ่าน Direct PPA สำหรับกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ จะเป็นกลไลหลักที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และสนับสนุนความยั่งยืน หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างทันท่วงที จะช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันและสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ความร่วมมือนี้เป็นหนึ่งในสามเสาหลัก ที่จะต่อยอดวางรากฐานในอนาคตที่เรียกว่า “Digital Infrastructure as a Service” หรือ ระบบโครงสร้างดิจิทัลครบวงจรแบบพร้อมใช้งาน อันประกอบด้วย
1.Data Center ที่เริ่มต้นจากการสร้างศูนย์จัดเก็บและประมวลผลข้อมูล ขนาดใหญ่ 2.Energy Platform-as-a-Service การมีบริการด้านพลังงานที่ออกแบบ มาเพื่อรองรับ Data Center และอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เช่น สามารถรวมแหล่งพลังงานหลายรูปแบบ มีระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และมีระบบจัดการพลังงานให้ใช้ไฟอย่างคุ้มค่าและประหยัดที่สุด และ 3.Industrial Digital Services บริการเสริมสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ช่วยให้โรงงานหรือธุรกิจที่มีอยู่เดิม มีระบบการทํางานอัจฉริยะขึ้นด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลในโรงงานด้วยเทคโนโลยี หรือระบบบริหารจัดการ เมื่อรวมทั้ง 3 เสาหลักนี้เข้าด้วยกัน จะไม่เพียงเป็นการสร้างบริการดิจิทัล แต่ยังเป็นการยกระดับสู่ระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจร ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยในเวทีโลก
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon