KBANK เดินหน้าความยั่งยืน บนแนวคิดยุทธศาสตร์ใหม่ เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม ผสานความยั่งยืนไปในทุกมิติการทำงาน ส่งมอบทั้งการเงินและองค์ความรู้ เพิ่มเป้าอัดฉีดเม็ดเงินความยั่งยืน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด

21

มิติหุ้น – นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ มีทั้งปัจจัยภายในประเทศที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขัน อาทิ หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรวมถึงมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ EU CBAM ที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุมมูลค่าสินค้า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 ดังนั้นธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อนจะสร้างความได้เปรียบ

จากการประเมินปัจจัยรอบด้านที่เกิดขึ้น ธนาคารได้ทบทวนกลยุทธ์การทำงานด้านความยั่งยืน เพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและสังคมได้ชัดเจนขึ้น จึงเปลี่ยนจากการดำเนินงานความยั่งยืนด้วยแกนสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG-based Strategy) ไปสู่ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนบนแนวทางใหม่ที่เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงมุมมองทุกด้านที่เกี่ยวข้อง กำหนดความมุ่งหมายชูเป็นแกนกลางของการทำงาน (Issue-based Strategy)

ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนแนวคิดใหม่แบบองค์รวม (Issue-based Strategy)

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพาทุกภาคส่วนเดินหน้าฝ่าคลื่นความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนธนาคารกสิกรไทย 2568 ถูกออกแบบบนแนวคิด Issue-based Strategy ที่เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงทุกมิติทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กำหนดเป็นความมุ่งหมาย ที่ธนาคารมุ่งเน้นส่งมอบให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย 3 เรื่องหลัก ได้แก่

  • การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น (Be a Most Trusted Bank) มุ่งเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น พร้อมเคียงข้างผู้มีส่วนได้เสียในการก้าวผ่านความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโตที่อย่างยั่งยืน ผ่านการบริการลูกค้า การกำกับดูแลกิจการ และการยึดมั่นในหลักจริยธรรม
  • การเสริมความยืดหยุ่นพร้อมก้าวสู่อนาคตร่วมกัน (Reinforce Future-Ready Resilience) เสริมความยืดหยุ่นให้องค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อพร้อมรับมือกับทุกความไม่แน่นอน และร่วมก้าวสู่โอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ในอนาคต ผ่านการบริหารความเสี่ยง การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาขีดความสามารถ
  • การสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง (Enable Inclusive Growth) ส่งมอบพลังให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าถึงศักยภาพสูงสุดผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครอบคลุมและทั่วถึง ผ่านการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างทั่วถึง การให้ความรู้และสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพ และการสร้างความเสมอภาคทางการเงิน

ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ได้ส่งเสริมให้ธนาคารกสิกรไทยสามารถขับเคลื่อนการเติบโตควบคู่กับการผสานมิติความยั่งยืนไปด้วยอย่างกลมกลืนในทุกการทำงาน มองเห็นโอกาสการส่งมอบผลลัพธ์เชิงบวกในหลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างการทำงานของธนาคารที่ส่งมอบผลกระทบเชิงบวก | 1. การส่งเสริมศักยภาพเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่ง (Strengthening Capabilities to Enhance Resilience)

ธนาคารไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้สินเชื่อหรือบริการทางการเงิน แต่ยังเป็นผู้เสริมสร้างศักยภาพเพื่อให้ลูกค้า ธุรกิจ และสังคมมีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง ด้วยการส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ควบคู่กับการให้องค์ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

การส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ผ่านการปฏิรูปกระบวนการเครดิตอย่างครบวงจร บนการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก ควบคู่กับการผสานเทคโนโลยี Data & AI ส่งมอบสินเชื่อที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับศักยภาพของผู้รับ  มีสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป และ Project Finance ผ่านการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ครบ 100% และเพิ่มเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) มีการส่งมอบโซลูชันการเงินที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การสร้างการเข้าถึงสินเชื่อบุคคลให้แก่ลูกค้าสินเชื่อรายเล็กผ่าน KIV การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่าน KLeasing และการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้เปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทางเลือกผ่านโซลูชันเพื่อธุรกิจโดย KF&E  ตลอดจนการเสริมสร้างการลงทุนที่ยั่งยืนผ่าน KAsset ที่เพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ขับเคลื่อนบนหลักการ ESG โดยปัจจุบัน KAsset ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ  1 ของประเทศใน ESG Fund และ SRI Fund ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 3.89 หมื่นล้านบาท และ 3.79 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งมี Beacon Impact Fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่สร้างผลกระทบเชิงบวก

การให้ความรู้และการมอบเครื่องมือที่มากกว่าการเงิน ผ่านการดำเนินโครงการให้ความรู้ทางการเงิน ธุรกิจ และการผสานแนวคิดด้าน ESG เข้าไปในทุกจุด ทั้งการให้ความรู้ทางการเงินและไซเบอร์แก่ลูกค้าและสาธารณะผ่านแคมเปญ สติ ที่สามารถสร้างการรับรู้แก่ลูกค้าและประชาชนไปแล้วกว่า 16.4 ล้านราย การเผยแพร่บทความด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และแนวโน้มความยั่งยืนที่ทันต่อสถานการณ์โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่เข้าถึงผู้อ่านกว่า 6.58 ล้านราย การให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการ K SME Care และช่องทางต่าง ๆ รองรับผู้ประกอบการกว่า 1.8 ล้านราย การให้ความรู้การลงทุนภายใต้แบรนด์ K Wealth ที่มีการพัฒนาองค์ความรู้ผ่านความร่วมมือพันธมิตรระดับโลก รวมทั้งเทรนด์การลงทุน ESG มีผู้สนใจเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์กว่า 1.68 ล้านเพจวิว และมีการรับชมคลิปบนยูทูปกว่า 11.19 ล้านวิว อีกทั้งโครงการ SKILLKAMP ที่พัฒนาทักษะและศักยภาพด้านดิจิทัลแห่งอนาคต สำหรับนิสิต นักศึกษาและบุคคลทั่วไป และช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถเข้าถึงบุคลากรตรงกับความต้องการ ปัจจุบันมีคอร์สเผยแพร่ 355 คอร์สและมีผู้ลงทะเบียน 8,000 ราย และการส่งเสริมความรู้และเครือข่ายให้แก่สตาร์ทอัพผ่านโครงการ KATALYST โดยมีสตาร์ทอัพผ่านการเรียนรู้ในโปรแกรมแล้วจำนวน 155 ราย

ตัวอย่างการทำงานของธนาคารที่ส่งมอบผลกระทบเชิงบวก | 2. การเร่งเครื่องการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อส่งมอบอนาคตที่ยั่งยืน (Accelerating Climate Transition to Secure a Sustainable Future)

ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศเจตนารมณ์สู่ Net Zero มาตั้งแต่ปี 2564 และตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด” ก้าวไป “เหนือกว่าการให้การสนับสนุนทางการเงิน” (Moving beyond finance) เพื่อช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่จำเป็นให้กับลูกค้า

การขับเคลื่อนธนาคารบนพันธกิจสู่ Net Zero สร้างผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนี้

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของธนาคาร เพื่อไปสู่เป้าหมาย Net Zero จากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) โดยในปี 2567 ธนาคารสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 17.02% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 (ค.ศ.2020) จากการดำเนินโครงการต่างๆ เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟครบทุกอาคารหลัก และสาขาอีก 161 แห่ง พร้อมใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วกว่า 354 คัน รวมทั้งได้รับการรับรองว่าเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอนต่อเนื่องถึง 8 ปี (ปี 2561-2568)

การผลักดันให้พอร์ตโฟลิโอของธนาคารบรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามกรอบที่ประเทศไทยกำหนดสอดคล้องกับเป้าหมาย NDC (Nationally Determined Contribution) และเร่งดำเนินการในส่วนที่สามารถทำได้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยธนาคารได้วางแผน กลยุทธ์รายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) เพื่อเข้าไปควบคุมและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างใกล้ชิด จำนวน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้นน้ำ กลุ่มเหมืองถ่านหินประเภทเชื้อเพลิงให้ความร้อน กลุ่มซีเมนต์ กลุ่มอลูมิเนียม และกลุ่มยานยนต์ โดยพอร์ตโฟลิโออุตสาหกรรมโรงไฟฟ้ามีระดับความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Intensity per GWh) ลดลง 26% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 (ค.ศ.2020)

การสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยการสนับสนุนทั้งด้านการเงิน ความรู้ และเทคโนโลยี ผ่านการปล่อยสินเชื่อและการลงทุน โดยมียอดสะสมของสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่า 173,231 ล้านบาท (ณ สิงหาคม 2568) และสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2.74 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 39,000 คัน สินเชื่อเพื่ออาคารสีเขียวมากกว่า 1 ล้านตารางเมตร สินเชื่อสำหรับโครงการทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนกว่า 500 โครงการ รวมถึงการดำเนินงานในมิติ Beyond Banking

ธนาคารได้ปรับเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมุ่งมั่นพัฒนา Beyond Banking Solution เพื่อส่งมอบ Climate Solution ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ลูกค้า และส่งเสริมการสร้าง Carbon Ecosystem ที่ครอบคลุมทุกมิติของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการปรับตัว พร้อมพัฒนาเครื่องมือ KClimate1.5 สำหรับการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก การจัดตั้ง Creative Climate Research Center เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และความร่วมมือเพื่อรับมือกับปัญหาโลกร้อน การริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อสร้าง Carbon Ecosystem ในสังคม เช่น Watt’s Up แพลตฟอร์มสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม Green Pass สำหรับการขอใบรับรอง RECs และแพลตฟอร์ม K-GreenSpace ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชัน Green Living ได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ธนาคารเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงร่วมกับพันธมิตรจากภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคการเงิน และภาควิชาการ จัดตั้ง เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: Thai CBN) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 34 องค์กร ร่วมกันผลักดันแนวปฏิบัติด้าน Climate ที่นำไปใช้ได้จริง ตั้งแต่ระดับ SME จนถึงข้อเสนอเชิงนโยบายระดับประเทศ โดยเครือข่าย Thai CBN ได้จัดทำ E-Handbook for Greener SMEs และ White Paper – Climate Ecosystem Collaboration เพื่อส่งมอบให้ภาครัฐ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังร่วมระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐในการเร่งการเปลี่ยนผ่านของประเทศอย่างยั่งยืนและมีส่วนร่วม

ส่งเสริมศักยภาพให้ทุกชีวิตและทุกธุรกิจเดินหน้าผ่านพ้นทุกความท้าทาย เติบโตต่อไปได้อีก

นายจงรักกล่าวตอนท้ายว่า ธนาคารกสิกรไทยดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง มีการบูรณาการยุทธศาสตร์ความยั่งยืนแบบองค์รวม สร้างผลกระทบเชิงบวกและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และเน้นย้ำว่าในทุกพันธกิจที่ธนาคารขับเคลื่อนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เชื่อมโยงกันในระบบนิเวศ สร้างรากฐานที่ยืดหยุ่น แข็งแกร่ง และมีคุณภาพให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล เพื่อให้ทุกชีวิตและทุกธุรกิจเดินหน้าผ่านพ้นทุกความท้าทายไปด้วยกัน เติบโตต่อไปได้อีกอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon