อมรินทร์กรุ๊ป เดินหน้าลุยต่อ โครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” ปลูกฝังเด็กไทยรักการอ่าน เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดีขึ้น

18

มิติหุ้น – โครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” ได้ดำเนินการมาแล้วเป็นระยะเวลา ปีอย่างต่อเนื่อง โดยการดำเนินงานของ อมรินทร์กรุ๊ป โดยบริษัทอมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทอมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด  ด้วยการสนับสนุนจาก บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อปลูกฝังสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่เยาวชนไทยในโรงเรียน 261 แห่ง จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมทั้งส่งมอบชั้นวางพร้อมหนังสือ 10 หมวดความรู้ให้แก่โรงเรียนต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 285,000 เล่ม และมีนักเรียนเข้าชมรมรักการอ่านกว่า 28,000 คน ไม่เพียงสร้างให้เยาวชนไทยเป็นผู้รักการอ่านแล้ว แต่ยังส่งเสริมให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีขึ้น และคุณครูผู้รับผิดชอบโครงการเพิ่มวิทยฐานะของตนเองจากการลงมือปฏิบัติงานจริงกับผู้เรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม โดยได้จัดงานแถลงข่าวความสำเร็จของโครงการฯ พร้อมด้วย ดร.ภูริวรรษ คำอ้ายกาวิน ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ให้เกียรติเป็นประธานในงาน  ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ดร.ภูริวรรษ คำอ้ายกาวิน ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เผยว่า “โครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” เป็นโครงการที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดขึ้น กระทรวงศึกษาธิการเล็งเห็นความสำคัญ และให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มโครงการปีที่ 1 จนถึงปีที่ 5  ด้วยเชื่อมั่นว่า “การอ่าน” เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ด้วยเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่สามารถพัฒนาความรู้ ไปสู่การพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ นำไปสู่การสร้างสรรค์ และช่วยขับเคลื่อนการศึกษาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ทุกระดับการศึกษาของประเทศจากผลของการอ่านออกเขียนได้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ดีขึ้น

กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายการศึกษา “เรียนดี  มีความสุข” เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ซึ่งการเรียนการสอนจำเป็นต้องเริ่มจากความสุขทั้งผู้เรียน ผู้สอน และผู้ปกครอง ซึ่งจะส่งผลให้การเรียนดีขึ้น เมื่อการเรียนดีขึ้นจะส่งผลกลับไปทำให้มีความสุขมากยิ่งขึ้น การส่งเสริมการอ่าน จึงเป็นหนึ่งในนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล ที่จะดำเนินนโยบายปฏิรูปการศึกษาและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต มุ่งส่งเสริมให้เป็นคนดี มีวินัยภูมิใจในชาติ รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพของผู้เรียนตามความถนัด ส่งเสริมการอ่าน เพื่อสร้างอนาคต สร้างรายได้ กระจายอำนาจการศึกษาให้ผู้เรียนได้เข้าถึงการเรียนรู้อย่างทั่วถึง มีอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย และใช้ระบบเทคโนโลยีการศึกษาสมัยใหม่ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่เป็นรากฐานสำคัญของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มุ่งหวังให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาในทุกมิติทั้งในด้านโอกาส ความเท่าเทียม ความเสมอภาค คุณภาพ และสมรรถนะที่สำคัญจำเป็นตามบริบทของประเทศและสังคมโลก โดยเน้นให้ผู้เรียน “เรียนดี  มีคุณธรรม” ด้วยหลักการขับเคลื่อนการศึกษาไทยด้วยทักษะการอ่าน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นคง มั่งคั่ง และพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาจากทุกภาคส่วน

การดำเนินโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข ” กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีแนวคิดที่จะร่วมสนับสนุนให้ “เด็กไทยอ่านออก เขียนได้ คุณครูก้าวไกล ชาติไทย พัฒนา”  ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยการพัฒนาทักษะการอ่านของผู้เรียนให้เป็นผู้ที่รู้หนังสือ สามารถอ่านออก เขียนได้ แต่ยังส่งเสริมให้ครูผู้รับผิดชอบโครงการ สามารถเพิ่มวิทยฐานะของตนเองจากการลงมือปฏิบัติงานจริงกับผู้เรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ โครงการดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือ และความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันพัฒนาเสริมสร้างรากฐานการอ่านให้เด็กและเยาวชนไทย ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีวัตถุประสงค์ไปในทิศทางเดียวกัน และเห็นควรให้ภาคส่วนต่างๆ  ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้การสนับสนุน กระทรวงศึกษาธิการรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การพัฒนา  ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้น จนกลายเป็นประโยชน์ที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ และการศึกษาให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนต่อไป”

หม่อมหลวงลือศักดิ์ จักรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน โครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” เผยว่า “เพื่อเป็นการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้แก่นักเรียนในโรงเรียนเป้าหมาย โดยสนับสนุนให้เป็นผู้รู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ เพราะเชื่อว่า การอ่าน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เรียน เพื่อแสวงหาความรู้ และข้อมูลต่างๆ ความถนัด และความสนใจ และเป็นทักษะที่จะติดตัวไปจนเป็นผู้ใหญ่ สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาทักษะสำคัญด้านต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ ทักษะด้านการสื่อสาร  ทั้งการพูด การเขียน การสรุปความ และทักษะการแก้ปัญหา เป็นต้น 

โดยจัดให้มีกิจกรรมการอ่าน วันละ 15 นาที, ก่อตั้งชมรมรักการอ่าน, การลงบันทึกรักการอ่านอย่างสม่ำเสมอ และยัง  ต่อยอดกิจกรรมการประกวด “เด็กสุขสันต์ ยอดนักอ่าน” เพื่อส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน และเป็นจุดเริ่มต้นให้เด็กๆ สนใจเข้าห้องสมุด, “เด็กสุขสร้างสรรค์ ขยันบันทึก” ต่อยอดความรู้จากการอ่านเก่ง คิดเป็น แก้ปัญหาเป็น และจับใจความสำคัญได้ และ “อ่านดัง ฟังเพลิน” ให้นักอ่านรุ่นใหม่อ่านแล้วบันทึกคลิปเสียงเพื่อส่งต่อสู่ผู้พิการทางสายตา เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนที่เข้าร่วมชมรมรักการอ่านมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น  

ในปีที่ โครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” มีโรงเรียนเข้าร่วม 52 แห่งจาก 29 จังหวัด มีสมาชิกชมรมรักการอ่าน 7,632 คน ต่อมาปีที่ มีโรงเรียนเข้าร่วม 57 แห่งจาก 38 จังหวัด มีสมาชิกชมรมรักการอ่าน 7,582 คน จากนั้นปีที่ มีโรงเรียนเข้าร่วม 51 แห่งจาก 24 จังหวัด มีสมาชิกชมรมรักการอ่าน 3,910 คน ในปีที่ มีโรงเรียนเข้าร่วม 50 แห่งจาก 27 จังหวัด มีสมาชิกชมรมรักการอ่าน 4,200 คน และปีที่ มีโรงเรียนเข้าร่วม 51 แห่งจาก 21 จังหวัด มีสมาชิกชมรมรักการอ่าน 5,000 คน

จากการดำเนินโครงการตลอด ปีที่ผ่านมา พบว่านักเรียนที่เข้าร่วมโครงการมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีขึ้นโดยเฉพาะวิชาภาษาไทย โดยในปีที่  มีผลการเรียนดีขึ้น 64%  ปีที่ เพิ่มขึ้นเป็น 72%  ปีที่ เพิ่มขึ้นเป็น 75% ปีที่ 4 เพิ่มขึ้นเป็น 77%  และปีที่ เพิ่มขึ้น 75% จากกลุ่มตัวอย่างของสมาชิกชมรมรักการอ่าน 5,000 คน ถือเป็นการเติบโตด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินโครงการ

ไม่เพียงเท่านี้ ยังส่งเสริมให้ครูผู้รับผิดชอบโครงการเพิ่มวิทยฐานะของตนเองจากการลงมือปฏิบัติงานจริงกับผู้เรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม ด้านผู้บริหารโรงเรียนมีส่วนกำหนดนโยบายตามแผนกลยุทธ์ของโรงเรียน และให้การสนับสนุนกิจกรรมการสร้างนิสัยรักการอ่านอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ศึกษานิเทศก์มีการกำหนดนโยบาย แนวทางส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับโรงเรียนในสังกัด ทั้งด้านกิจกรรมพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียน และด้านการสอนของครูผู้ดูแลโครงการ เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนให้ดีขึ้นต่อไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตามให้คำแนะนำช่วยเหลือ

นอกจากนี้ยังพบว่า นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่าน โดยมีพฤติกรรมชอบอ่านหนังสือเป็นประจำและสมํ่าเสมอนักเรียนมีความกระตือรือร้นต่อการเข้าห้องสมุด ได้เลือกอ่านหนังสือที่ตนสนใจมากขึ้น และมีความสุขจากการอ่านหนังสือ อีกทั้งการทำกิจกรรมพัฒนาทักษะการอ่านอย่างเข้มแข็งเป็นประจำ นำไปสู่การต่อยอดสร้างสรรค์เป็นผลงานต่างๆ ของนักเรียนในชมรมรักการอ่าน เพื่อแบ่งปันสาระความรู้ให้แก่นักเรียนคนอื่นๆ และส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดและได้รับรางวัลในระดับต่างๆ ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้แก่นักเรียน คุณครู และผู้บริหารโรงเรียน และเกิดการส่งต่อความตั้งใจและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักเรียนรุ่นน้องต่อไป อันจะเป็นการพัฒนาสังคมในโรงเรียนให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืน และสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพให้แก่สังคมไทยต่อไป”

ด้าน คุณโสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “โครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไทยเบฟฯ มีความมุ่งมั่นและตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการส่งเสริมด้านการศึกษาให้กับเยาวชน โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอ่าน เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการเรียนรู้ของเยาวชน เพราะการอ่านคือรากฐานสำคัญ ของการเสริมสร้างและพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของเยาวชนในการดำรงชีวิต เป็นการเปิดโลกทัศน์ สร้างจินตนาการ อีกทั้งทำให้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและแนวคิดใหม่ๆ ที่ช่วยต่อยอดทั้งในด้านความรู้ ความคิด และก้าวทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กิจกรรมต่างๆ ของโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ รู้สึกสนุกและรักการอ่านมากยิ่งขึ้น

ภายใต้พันธกิจของไทยเบฟฯ ในการสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต (Creating and Sharing the Value of Growth) จึงให้การสนับสนุนและส่งเสริมด้านการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านหลากหลายโครงการ อาทิ โครงการสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี (Connext ED) โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) ไทยเบฟฯ มุ่งพัฒนา  3 ทักษะหลัก คือ ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ และการเป็นคนดี เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กๆ สามารถดูแลพึ่งพาตนเอง เติบโตเป็นพลเมืองที่ดี สร้างประโยชน์ต่อสังคมได้ การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ การเรียนรู้เรื่อง Cyber Security อาชีพในยุคปัจจุบัน ทักษะการทำมาค้าขาย ที่สามารถเชื่อมโยงและสอดแทรกไปสู่เรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งคุณครูและนักเรียนสามารถใช้หนังสือที่โครงการส่งความรู้ สร้างความสุขมอบให้ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อยอดและพัฒนาทักษะได้ในอนาคต

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” จะช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อให้เยาวชนไทยเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพและสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม และเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับอนาคตของชาติ”

โครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” ยังคงเดินหน้าพร้อมวางเป้าหมายความสำเร็จของโครงการคือ นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดีขึ้น โดยให้ความสำคัญเรื่องการอ่านเป็นพื้นฐาน เพราะการอ่านจะเป็นพื้นฐานของการรู้หนังสือของนักเรียน คุณครูเองยังได้พัฒนาด้านการเรียนการสอน และมีโอกาสพัฒนาความก้าวหน้าในวิชาชีพ ส่งเสริมให้โรงเรียนเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นสื่อประเภทหนังสือ คลิปวิดีโอการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีคุณภาพ หลากหลาย เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของผู้เรียน

สามารถติดตามรายละเอียดของโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” รวมทั้งภาพกิจกรรมจากโครงการ บทความและเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการอ่าน ได้ทาง www.naiin.com

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon