“เอส พี เค จี” ยืนหนึ่งผู้นำตลาดเคมีเกษตรไทย เดินหน้าสร้างความร่วมมือรัฐ–เอกชน–เกษตรกร ยกระดับมาตรฐานการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย สู่เกษตรยั่งยืน

23

มิติหุ้น – บริษัท เอส พี เค จี จำกัด ตอกย้ำบทบาทผู้นำธุรกิจเคมีเกษตรของไทย จัดเวทีเสวนาเชิงวิชาการ “การขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตร” เพื่อผลักดันให้เกิดความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร พร้อมยกระดับมาตรฐานการจัดการสารเคมีเกษตรให้โปร่งใส ปลอดภัย และสอดคล้องกับกฎหมาย รองรับการพัฒนาเกษตรไทยอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ดร.จงกรม ศรีพงษ์พันธุ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส พี เค จี จำกัด เปิดเผยว่า จุดประสงค์หลักของการจัดงานครั้งนี้ คือการสร้างแพลตฟอร์มกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลเชิงนโยบาย เพื่อให้ทุกภาคส่วนเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตร ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของสารเคมีในตลาดไทย

เอส พี เค จี เชื่อมั่นว่าความโปร่งใสและมาตรฐานในการขึ้นทะเบียนเคมีเกษตร คือรากฐานของการพัฒนาเกษตรไทยในอนาคต เราไม่ได้มองตัวเองเพียงผู้จัดจำหน่าย แต่คือ พันธมิตรเพื่อความยั่งยืนของเกษตรกรไทย ที่พร้อมยืนเคียงข้างในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิต” ดร.จงกรม ศรีพงษ์พันธุ์กุล กล่าว

ภายในงาน ได้รับเกียรติจากผู้แทนภาครัฐ อาทิ นายชัยศักดิ์ รินเกลื่อน ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุเกษตร ที่กล่าวถึงความสำคัญของการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายว่า การขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรถือเป็นหัวใจสำคัญของทั้งภาครัฐและผู้ใช้จริงในภาคสนาม เนื่องจากเป็นกลไกคัดกรองให้สารเคมีที่เข้าสู่ตลาดไทยมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ สิ่งแวดล้อม และผู้บริโภค โดยกระบวนการขึ้นทะเบียนต้องผ่านการประเมินอย่างรอบด้าน ทั้งด้านพิษวิทยา สิ่งแวดล้อม คุณภาพผลิตภัณฑ์ ตลอดจนมาตรฐานการนำเข้าและการจำหน่าย เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบเชิงลบ

อีกทั้งยังย้ำเงื่อนไขสำคัญในการอนุญาต เช่น การขอสิทธิ์นำเข้าสารไกลโฟเซตการจัดการสินค้าที่หมดอายุการขายเคมีเกษตรออนไลน์อย่างถูกต้อง ล้วนต้องสอดคล้องกับกฎหมายและแนวปฏิบัติที่กำหนด เพื่อให้เกษตรกรใช้ได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ

ด้าน สว.เดชา นุตาลัย เน้นย้ำว่า การช่วยเหลือเกษตรกรควรเริ่มจากการลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะการจัดการเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และสารเคมีที่เป็นภาระหลักของเกษตรกร ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และสหกรณ์การเกษตร เพื่อสร้างระบบสนับสนุนที่ยั่งยืน

ขณะที่ นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ชี้ว่า ต้นทุนปัจจัยการผลิตที่สูง โดยเฉพาะปุ๋ยและสารเคมี เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำเกษตร ปัจจุบันราคาปุ๋ยสูงถึง 800–1,000 บาทต่อกระสอบ ขณะที่ราคาข้าวแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากในอดีต สมาคมจึงเสนอให้รัฐมีมาตรการอุดหนุนต้นทุนปุ๋ยและยาเกษตร รวมถึงการส่งเสริมเมล็ดพันธุ์คุณภาพที่ให้ผลผลิตสูงเพื่อรองรับความต้องการของตลาดโลกอย่างแท้จริง         

ส่วนภาคเอกชนที่เป็นผู้ส่งออก ก็ควรเน้นเร่งขายออกทุกตลาด ทั้งตลาดเก่าและใหม่  เพราะหากไม่พยายามเร่งขายรักษาส่วนแบ่ง  อาจเสียตลาดระยะยาว  เพราะการที่เอกชนเร่งขายออกจะช่วยพยุงราคาไม่ให้ต่ำลงได้

ในส่วนของภาคเอกชน นายจารึก ศรีพุทธชาติ นายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร ระบุว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยผ่านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงตลาด เพื่อให้เกษตรกรสามารถพัฒนาและแข่งขันได้ในระดับสากล พร้อมย้ำว่าการช่วยเหลือเกษตรกรคือการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศอย่างแท้จริง

ดร.จงกรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และชุมชนเกษตร จะช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ใช้เคมีเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน เอส พี เค จี มุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศเกษตรที่โปร่งใส มีมาตรฐาน และแข่งขันได้ในระดับสากล เพราะเรามองว่าการอยู่เคียงข้างเกษตรกร คือการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศไทย” ดร.จงกรมกล่าวทิ้งท้าย

เวทีเสวนาครั้งนี้สะท้อนถึงบทบาทของ เอส พี เค จี ในฐานะผู้นำธุรกิจเคมีเกษตรที่ไม่เพียงมุ่งขยายตลาด แต่ยังเดินหน้าสร้าง “คุณค่าทางสังคม” ผ่านการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม สร้างความเชื่อมั่นแก่เกษตรกร และร่วมผลักดันภาคเกษตรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนเวทีโลก

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon