EKA GLOBAL ชี้ “บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร” ทางออกลดขยะอาหาร หนุนไทยบรรลุเป้าหมายลด 50%

11

มิติหุ้น – “เอกา โกลบอล” หนุนไทยลดปริมาณ “ขยะอาหาร” ลง 50% ในปี 2573 แนะภาคธุรกิจใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง มั่นใจเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยไทยบรรลุเป้า เผยเทรนด์โลกหนุนตลาดบรรจุภัณฑ์ยืดอายุเติบโตต่อเนื่องเป็นตัวเลขสองหลัก

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) แบรนด์คนไทยเบอร์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก เปิดเผยว่า สถานการณ์ “ขยะอาหาร” (Food Waste) ในประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นเร่งด่วน โดยข้อมูลล่าสุดจากกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ณ ปี 2568 พบว่า ขยะอาหารในประเทศมีปริมาณสูงถึง 10 ล้านตันต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 36 – 39% ของขยะชุมชนทั้งหมด และคนไทยสร้างขยะอาหารเฉลี่ยสูงถึง 154 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ผลักดัน “แผนขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Zero Food Waste” พร้อมประกาศให้ปีนี้ เป็น “ปีแห่งการเริ่มต้นรณรงค์ลดขยะอาหาร” เพื่อมุ่งลดปริมาณขยะอาหารลง 50% ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาขยะอาหารอย่างยั่งยืนควรเริ่มที่ “การป้องกันไม่ให้เกิดขยะตั้งแต่แรก” มากกว่าการจัดการที่ปลายทาง โดยภาคเอกชนต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) โดยเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เช่น Modified Atmosphere Packaging (MAP) ให้ผลบวกอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งช่วยลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss) และช่วยยืดอายุความสดใหม่ของอาหารและวัตถุดิบอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่การจัดเก็บ การขนส่ง จนถึงชั้นวางขาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค

นอกจากนี้ยังรักษาคุณภาพและความปลอดภัย (Food Safety) ช่วยคงคุณค่าทางโภชนาการ รสชาติ และเนื้อสัมผัส รวมถึงป้องกันการปนเปื้อน ตลอดจนถึงการลดการเน่าเสียของวัตถุดิบแม้เพียง 1 – 2% สามารถช่วยประหยัดต้นทุนและลดความเสียหายทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมอาหารได้หลายแสนล้านบาทต่อปี

สำหรับภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร มองทิศทางการเติบโตยังคงสดใส สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืนและการบริโภคอาหารพร้อมรับประทานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยมองตัวเลขการเติบโตของตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารในภูมิภาคนี้จะยังคงมีการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 – 10% ต่อปี โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร

ขณะที่ ประมาณการณ์แนวโน้มการส่งออกอาหารพร้อมรับประทานของไทยยังเป็นตลาดที่คาดว่าจะเติบโตด้วยอัตราที่สูงกว่าการค้าโลกโดยเฉลี่ย ข้อมูลโดยสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมฯ และสถาบันอาหาร มองมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารไทยโดยรวมในปีนี้จะเติบโตกว่า 1.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8%

ด้านศูนย์วิจัยกรุงศรี คาดการณ์การเติบโตของปริมาณส่งออกอาหารพร้อมรับประทานปี 2568 – 2569 จะขยายตัวเฉลี่ย 5 – 6% ต่อปี มีแรงหนุนจากพฤติกรรมผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของสังคมเมือง วิถีชีวิตที่เร่งรีบ และการให้ความสำคัญกับอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด และมีอายุการเก็บรักษานาน ทำให้ความต้องการอาหารพร้อมรับประทานที่ใช้บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการต้องติดตามความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและนโยบายภาษีระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด

“การลงทุนในเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ช่วยยืดอายุอาหารจึงเป็นการลงทุนที่สร้างผลบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพราะช่วยแก้ปัญหาขยะอาหารได้ตั้งแต่ต้นทาง และยังช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดขยะอาหารได้อย่างเป็นรูปธรรม” นายชัยวัฒน์ กล่าว

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon